Thursday, April 30, 2009

ลำดับ๖๒๑ยุทธการภูผาที(๒๒)

บทที่๒๒ บันทึกของแช็คลี่

ทหารม้งของวังเปาทำการดักซุ่มโจมตีข้าศึก ซึ่งก็ไม่ได้ผลอะไรมากนัก เครื่องบินรบอเมริกันเข้าโจมตีที่มั่นทางทหาร ขบวนรถบรรทุกและที่ตั้งปืนใหญ่ ลูกระเบิดที่อเมริกันใช้มีทั้งระเบิดสังหารแบบธรรมดา นาปาล์ม ระเบิดแตกอากาศและระเบิดแบบที่ปล่อยทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เข้าถล่มพวกข้าศึก จากการมองผ่านเลนส์กล้องส่องทางไกล อเมริกันสังเกตเห็นนายทหารเวียดนามเหนือสั่งการให้รถบุลโดเซอร์ทำการซ่อมแซมถนนและเส้นทางถนนก็คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วกระทั่งสามารถตัดสู่เชิงเขาได้ในที่สุด

ตอนนี้ทั้งแลร์และแช็คลี่ต่างยอมรับว่า ถึงเวลาที่จะระเบิดสถานีเรดาห์และเผ่นหนีออกมาได้แล้ว ในบันทึกช่วยจำของแช็คลี่ ผู้อำนวยการซีไอเอในลาวที่ได้เขียนและส่งไปยังกองทัพและผู้อำนวยการใหญ่ ซีไอเอ บันทึกในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ มีว่า

“เป็นที่แน่ชัดว่า ในช่วงสองอาทิตย์ข้างหน้านี้ ข้าศึกจะพยายามรุกคืบเข้าสู่ภูผาทีและเตรียมการจู่โจมขั้นสุดท้าย โดยใช้กำลัง ๓-๔ กองพัน หากเครื่องบินอเมริกันยังคงโจมตีที่ตั้งข้าศึก ทั้งที่ภูผาทีและบริเวณรอบๆของฝ่ายเราบนภูผาที ก็จะยังคงสามารถต้านทานข้าศึกอยู่ได้ อย่างไรก็ตามเป็นการยากที่จะคาดการณ์สถานการณ์หลังจากวันที่ ๑๐ มีนาคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยว่า ข้าศึกมีความต้องเข้ายึดที่มั่นบนภูผาทีมากน้อยเพียงใด”

แช็คลี่ได้เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ที่น้ำแบ่ง ว่าจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เขามีแนวโน้มจะทำอะไรที่เสี่ยงๆน้อยลง รวมทั้งฟังความเห็นคนอื่นมากขึ้น เขาเล่าว่าเรามีหลักฐานมากกว่าที่ใครๆ ควรจะต้องการ ในการเร่งอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากภูผาทีทันที หรือไม่ก็ส่งกองหนุนเข้าไปเสริมแนวตั้งรับแต่เราไม่สามารถทำได้ทั้งสองอย่าง ทางกองบินที่ ๗ และผู้อำนวยการซีไอเอส่งให้พวกเขาต้านทานไว้จนสุดกำลัง พวกเขาบอกว่าการรักษาสถานีเรดาห์ไว้ให้ได้นั้นมีความสำคัญมากเนื่องจากมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการนำร่องปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในเวลากลางคืน และว่าพวกเขายินดีที่จะเสี่ยง เพราะมันได้ช่วยชีวิตทหารอเมริกันและพันธมิตรในเวียดนามไว้เป็นจำนวนมาก

แช็คลี่เขียนไว้ในบันทึกช่วยจำต่อไปอีกว่า “ดังนั้นเราจึงเตรียมพร้อมเต็มที่ และตอบกลับไปว่าเอางั้นก็ได้ เราเตรียมแผนฉุกเฉินในการอพยพเอาไว้แล้ว หลายคนที่นี่คิดว่าเราน่าจะสามารถนำชอปเปอร์เข้าไปพาตัวพวกนั้นออกมาได้หากจำเป็น ความคิดนี้เปลี่ยนไปเมื่อเรารู้ว่าข้าศึกมีปืนใหญ่ช่วยสนับสนุน ซึ่งใครก็ตามที่มีประสบการณ์ในสนามรบ จะรู้ดีว่าสิ่งนี้ถือเป็นข่าวร้ายอย่างยิ่ง”

No comments: