Wednesday, January 28, 2009

บทความที่๔๓๓.ผู้ทำคุณประโยชน์ให้ประชาชนย่อมมีสุคติเป็นที่ไป

ขอมอบบทความนี้แด่ท่านผู้ทำคุณประโยชน์แก่มวลราษฎร ผู้ต้องได้รับอาชญา ถูกใส่ร้ายป้ายสี มีท่านปรีดี พนมยงค์, ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์, คุณเตียง ศิริขันธ์, คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นต้น

อดีตชาติของท้าวสักกะ

ท้าวสักกะ หรือ พระอินทร์-จอมเทพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่พุทธบริษัทได้ยินพระนามของพระองค์บ่อยครั้งเพราะถูกกล่าวถึงหลายต่อหลายแห่งในพระไตรปิฎก และด้วยผลของกุศลกรรมที่ท่านได้ทำไว้ให้ผลจึงทำให้ท่านมาบังเกิดเป็นจอมเทพบนสวรรค์ชั้นที่ ๒ นี้ เรื่องราวการทำความดีของท่านมีความเป็นมาดังนี้
พระศาสดาเมื่อครั้งประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี ครั้งนั้นเจ้าลิจฉวี พระองค์หนึ่งพระนามว่า มหาลิ ทรงสดับพระธรรมเทศนาเรื่อง สักกปัญหสูตร ของพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงดำริว่า พระพุทธองค์ทรงเห็นสมบัติของท้าวสักกะ ทรงรู้จักท้าวสักกะด้วยพระองค์เองหรือไม่หนอ หรือเพียงแต่ได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น
ทรงดำริฉะนี้แล้ว เสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลว่า พระพุทธองค์ทรงรู้สมบัติของท้าวสักกะ ทรงรู้จักท้าวสักกะด้วยพระองค์เองหรืออย่างไร จึงตรัสเช่นนั้น

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูก่อนมหาลิ,ตถาคตรู้จักทั้งตัวท้าวสักกะและธรรมอันทำบุคคลให้เป็นท้าวสักกะด้วย"

พระศาสดาทรงอธิบายพระนามของท้าวสักกะให้ท้าวมหาลิทรงทราบว่า ที่มีพระนามอย่างนั้นๆ เพราะเหตุใด เช่นว่าที่มีพระนามว่า มฆวา เพราะชาติที่เป็นมนุษย์ได้เป็นมานพชื่อ มฆะ ที่มีพระนามว่า บุรินททะ เพราะชาติก่อนชอบให้ทานก่อนผู้อื่นที่มีพระนามว่า สักกะ เพราะเคยให้ทานโดยเคารพ ที่มีพระนามว่า วาสวะ เพราะในชาติก่อนเคยให้ที่พักอาศัยแก่คนจรมา ที่มีพระนามว่า สหัสสักขะ เพราะสามารถดำริข้อความได้ตั้งพันเรื่องในกาลเพียงครู่เดียว ที่มีพระนามว่า สุชัมบดี เพราะทรงเป็นพระสามีของสุชาดา ที่มีพระนามว่า เทวานมินทะ เพราะทรงเป็นใหญ่กว่าทวยเทพทั้งปวงในชั้นดาวดึงส์
อนึ่ง ท้าวสักกะนั้นสมัยเมื่อเป็นมนุษย์ได้บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ อย่างบริบูรณ์ตลอดชีวิต คือ

๑. เลี้ยงมารดาบิดา
๒. อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๓. พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน
๔. ไม่ส่อเสียด
๕. กำจัดความตระหนี่ได้
๖. มีวาจาสัตย์
๗. ข่มความโกรธได้

ท้าวมหาลิ ทรงกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงตรัสเรื่องในอดีตชาติของท้าวสักกะ พระศาสดาจึงตรัสเล่าให้สดับดังนี้

ในอดีตกาล,มีมานพผู้หนึ่งนามว่ามฆะเป็นชาวเมืองอจลคามในแคว้นมคธ มฆมานพผู้นี้มีอุปนิสัยชอบปรับปรุง ซ่อมทางเดิน หักร้างที่รกร้างให้เป็นที่รื่นรมย์ เมื่อมีผู้ผ่านมาก็ได้เข้าใช้สถานที่นั้น เมื่อถึงฤดูหนาวเขาก็ได้หาฟืนมาก่อไฟให้คนผ่านทางได้ใช้สอยประโยชน์ เขาได้ขุดสระน้ำ ตัดกิ่งไม้ที่รานออก ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นแก่ผู้คนทั้งหลายได้ใช้สอยประโยชน์ มฆมานพมีความสุขปีติจากกุศลกรรมที่ทำเขานั้น

ไม่นานเรื่องราวการบำเพ็ญกุศลเพื่อการสาธารณะของมฆมานพก็แผ่ไป จึงปรากฏว่ามีชายหนุ่มที่มีอุดมการณ์ที่จะสร้างสาธารณกุศลเพื่อประโยชน์สุขแก่ปวงชนทั้งหลายได้เข้ามาร่วมกับมฆมานพมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีจำนวนถึง ๓๒ คน แล้วชายหนุ่มเหล่านี้ก็ร่วมกันก่อสร้างสาธารณูปโภคทั้งหลายที่จะยังความผาสุกแก่ปวงประชาชนเป็นจำนวนมาก

คราวนั้น นายบ้านผู้ดูแลชุมชนเกิดจิตริษยาในกิตติศัพท์ที่เลื่องลือไปแล้วของมานพเหล่านี้ ด้วยจิตใจอันสกปรกต่ำช้านายบ้านได้ทักท้วงการบำเพ็ญสาธารณกุศลของมานพทั้ง ๓๓ คน แล้วกล่าวชักชวนให้พวกเขาไปจับปลา ล่าสัตว์ ต้มสุราดื่มเสียยังจะดีกว่ามาก่อสร้างสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

แน่นอน,มานพเหล่านี้ไม่ฟังคำกล่าวของอสัตบุรุษ พวกเขายังคงบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ปวงชนต่อไป ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติในกุศลกรรมของพวกเขา นายบ้านผู้ริษยาจึงคิดที่จะกำจัดชายหนุ่มทั้งหลายเหล่านี้ เขาได้เดินทางเข้าเมืองหลวง และเข้าเฝ้าพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแค้วนมคธ.

“ข้าแต่เทวะ” นายบ้านกราบทูล “ในชุมชนที่ข้าพระองค์ปกครองดูแลอยู่นั้น ได้ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งจำนวน ๓๓ คน ทำการชักชวนปลุกระดมประชาชนด้วยการสร้างสาธารณประโยชน์เพื่อจูงใจให้ประชาชนหลงเชื่อพวกมัน ข้าพระองค์คิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้ก่อการร้าย มันจะต้องคิดการณ์ร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นแน่,พระเจ้าข้า”

ด้วยความหูเบาไม่ไตร่ตรองพินิจพิจารณา พระราชาแห่งมคธ ทรงสั่งเหล่าราชบุรุษเดินทางไปควบคุมตัวมานพทั้ง ๓๓ คนเข้ามายังเมืองหลวงเพื่อลงอาชญา.

ประชาชนทั้งหลายทั่วสารทิศได้เดินทางหลั่งไหลมายังเมืองหลวงเพื่อเป็นประจักษ์พยานว่าบุคคลผู้กระทำคุณประโยชน์ให้แก่ปวงประชาชนจะต้องมาถูกลงอาชญาด้วยการใส่ร้ายป้ายสีจากบุคคลผู้ริษยา!

ทัณฑกรรมที่มานพทั้งหลายจะได้รับคือ ถูกพระยาคชสารเหยียบย่ำจนถึงแก่ความตาย!

ณ ลานกลางเมืองที่ถูกจัดให้เป็นลานประหาร มานพทั้ง ๓๓ คนถูกจับมัดให้นอนลงเพื่อรอรับโทษ พวกเขาไม่คิดฝันว่าสิ่งที่พวกเขาได้คิดดีและทำดีเพื่อประชาชนกลับจะต้องมาลงเอยเช่นนี้ มฆมานพผู้เป็นหัวหน้าจึงกล่าวแก่มานพทั้ง ๓๒ คน สหายร่วมอุดมการณ์ ว่า

“ท่านทั้งหลาย,ขอท่านจงฟังข้าพเจ้า ไม่ช้านี้ พวกเราก็จะถึงแก่ความตายแล้ว ก็แต่ว่าขอท่านทั้งหลายจงอย่าได้ประทุษร้ายใจตนเอง ด้วยความโกรธเลย ขอท่านจงเมตตาต่อพระราชาพระองค์นั้น ขอท่านจงเมตตาต่อนายบ้านผู้ใส่ร้ายป้ายสีพวกเรา และขอท่านจงเมตตาต่อพระยาคชสารนี้ ขอท่านจงอย่าโกรธแค้นเลย”

ด้วยคำกล่าวสัจจะนี้ มานพทั้งหมดได้มีจิตสงบ ความขุ่นแค้นขัดเคืองได้สงบระงับลง ก็บัณฑิตทั้งหลายล้วนมีมนสิการในใจโดยแยบคายอย่างนี้ว่า ชีวิตนั้นแลก็ประหนึ่งดังความฝันอันหาสาระใดๆมิได้ สิ่งใดที่ยึดถือว่าเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็หายั่งยืน เที่ยงแท้ไม่ เมื่อต้องจากภพนี้ไป สิ่งเหล่านี้จะยังประโยชน์อะไรในสัมปรายภพ เมื่อบุคคลต้องตื่นขึ้นจากฝัน จะหยิบคว้าสิ่งใดออกมาจากความฝันหาได้ไม่ จะฝันว่ามีชาติตระกูลสูงส่งเพียงใด ก็เป็นแต่ความฝัน เมื่อตื่นขึ้นก็ต้องจากสมมติทั้งปวงในฝันนั้น ชีวิตก็เช่นกัน เมื่อต้องตายจากภพนี้ ทรัพย์สมบัติทั้งปวงภริยาและบุตรทั้งหลายก็ไม่อาจติดตามไปได้ คงไปได้แต่กุศลจิตและอกุศลจิตเท่านั้น

มานพทั้งหลายได้พิจารณาถึงสัจจะเหล่านี้แล้ว ก็ไม่มีจิตผูกโกรธ ไม่คิดก่อเวรตอบ เขาทั้งหลายสงบนิ่งรอเวลาที่จะมาถึง.

ครานั้น,พระยาคชสารผู้มีร่างอันมหาศาลถูกควาญช้างไสเข้าไปเพื่อจะเหยียบย่ำบุรุษเหล่านั้นให้แหลกเหลวไปกับพสุธา แต่พระยาคชสารใหญ่ตัวนั้นไม่อาจจะก้าวเข้าไปหาเหล่าบุรุษผู้มีจิตเมตตาและสงบนิ่งได้เลย ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาซึ่งเป็นกุศลจิตนั่นเอง.

ณ ที่ห่างออกไปพระราชาทรงประทับนั่งมองดูการประหาร เมื่อทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็คิดว่า พระยาช้างคงจะกลัวที่ได้เห็นบุรุษจำนวนมากนอนที่พื้น จึงรับสั่งให้ราชบุรษเอาเสื่อผืนใหญ่มาคลุมตัวบุรุษทั้งหมดไม่ให้มองเห็นว่ามีคนอยู่ใต้เสื่อ.

แม้กระนั้น ไม่ว่านายควาญช้างจะสับขอ ผลักไสให้พระยาช้างเดินไปข้างหน้าอย่างไรๆ พระยาช้างก็ไม่อาจจะก้าวไปข้างหน้าได้ ยังคงระงับยับยั้งอยู่กับที่.

ลำดับนั้น พระราชาได้ฉุกพระทัย ระลึกถึงสิ่งบอกเหตุอันประหลาดพิกลนี้ จึงรับสั่งให้นำตัวบุรุษทั้ง ๓๓ คนเข้าเฝ้า ทรงไต่ถามเรื่องราวทั้งหมด

"ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นโจร แต่พวกข้าพระองค์ทำสาธารณประโยชน์เพื่อประโยชน์สุขแก่ปวงประชาชน นายบ้านผู้นี้ชักนำพวกข้าพระองค์ให้ทำอกุศล เมื่อพวกข้าพระองค์ไม่ยอมทำตาม เขาโกรธ จึงมากราบทูลพระองค์อย่างนั้น"มฆมานพผู้เป็นหัวหน้ากราบทูล

พระราชาทรงสดับแล้ว ทรงโสมนัส ตรัสว่า "สัตว์ดิรัจฉานยังรู้จักคุณของพวกเจ้า เราเป็นมนุษย์แต่กลับไม่รู้จัก ขอจงยกโทษแก่เราเถิด"

พระราชาได้พระราชทานนายบ้าน พร้อมทั้งบุตรภรรยาของนายบ้านให้เป็นทาสของมฆมานพ ช้างเชือกนั้นให้เป็นพาหนะสำหรับขี่ และหมู่บ้านนั้นทั้งหมดให้แก่มานพและสหายทั้ง ๓๒ คน พวกเขามีความปราโมชยินดีที่กุศลกรรมให้ผล ปกป้องพวกเขาไว้จากความตาย พวกเขาได้ปรึกษาหารือกันว่า พวกเราควรทำอะไรให้ยิ่งขึ้น ตกลงกันว่า จักสร้างศาลาเป็นที่พักของมหาชนให้ถาวรใน ๔ แยกหนทางใหญ่ จึงได้จัดหาช่างไม้มาสร้างศาลานั้น

ต่อมา มฆมานพได้มีภรรยา ๔ คน คือ นางสุนันทา นางสุจิตรา นางสุธรรมา และนางสุชาดา

นางสุธรรมาอยากจะร่วมกุศลในการสร้างศาลาบ้าง จึงให้ค่าจ้างช่างไม้ให้ทำช่อฟ้าให้ตน มีอักษรจารึกที่ช่อฟ้านั้นว่า "ศาลานี้ชื่อสุธรรมา" ศาลานั้นแบ่งเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับอิสรชน, ส่วนหนึ่งสำหรับคนเข็ญใจ และอีกส่วนหนึ่งสำหรับคนไข้
พวกเขาปูกระดาน ๓๓ แผ่นใหญ่ แล้วสั่งช้างไว้ว่า แขกมานั่งบนแผ่นกระดานของผู้ใด จงพาแขกไปบ้านของผู้นั้น วันนั้น ผู้นั้นจักเป็นผู้รับรองให้ความสะดวกสบายแก่แขกทุกประการ

นายมฆะ ปลูกต้นทองหลางไว้ต้นหนึ่ง ไม่ห่างศาลานัก แล้วทำเก้าอี้หินไว้โคนต้นไม้นั้นสำหรับคนจะได้นั่งเล่น คนที่มาพบเห็นศาลาก็ออกชื่อว่า "ศาลาสุธรรมา" แต่กลับไม่มีใครรู้ชื่อของสหาย ๓๓ คนเลย

ฝ่ายนางสุนันทาคิดว่า นางสุธรรมาได้ร่วมบุญในการสร้างศาลา เพราะความฉลาดของตน จึงคิดว่า "เราควรจะมีส่วนบ้าง อันธรรมดาคนมาพักย่อมต้องการน้ำดื่มน้ำอาบ เราควรให้ขุดสระมีบัว" ดังนี้แล้วให้ขุดสระโบกขรณี ชื่อสระสุนันทา ส่วนนางสุจิตราให้สร้างสวนดอกไม้อันสวยงาม คนทั้งหลายเรียกกันว่า สวนสุจิตรา

ส่วนนางสุชาดาคิดเสียว่า "เราเป็นทั้งหลานและเป็นทั้งภรรยาของมฆะ สิ่งใดที่มฆะทำก็ชื่อว่าเราได้ทำด้วย" ดังนี้จึงไม่ได้ทำอะไรส่วนตัวอันเป็นกุศล ให้เวลาล่วงไปด้วยการแต่งตัวอย่างเดียว

มฆมานพบำเพ็ญคุณงามความดีอื่นๆ และวัตตบท ๗ ประการ อยู่จนตลอดชีวิต เมื่อสิ้นชีพแล้วไปบังเกิดเป็นท้าวสักกเทวราชในภพดาวดึงส์ สหายของเขา ๓๒ คนก็เกิดในที่นั้นเหมือนกัน นายช่างเกิดเป็นวิศวกรรมเทพบุตร นางสุธรรมา สุนันทา และสุจิตราก็ไปเกิดเป็นเทพอัปสรที่นั่นเหมือนกัน มีแต่นางสุชาดาเท่านั้นไปเกิดเป็นนางนกยาง, ช้างเกิดเป็นเทพบุตรชื่อ เอราวัณ ภายหลังท้าวสักกะได้ช่วยเหลือให้นางสุชาดาไปเกิดเป็นเทพอัปสรเหมือนกันโดยวิธีให้รักษาศีล ทำจิตใจให้ประกอบด้วยเมตตากรุณา เป็นต้น
ทั้งหมดได้เสวยทิพยสมบัติ มีความสุขอยู่ในโลกทิพย์ เพราะหมั่นสั่งสมบุญกุศลด้วยความไม่ประมาท ดังพุทธภาษิตว่า

อปฺปมาเทน มฆวา เทวานํ สฏฐตํ คโต
อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ปมาโท ครหิโต สทา

แปลความว่า

ท้าวมฆวะ ถึงความประเสริฐกว่าเทวาทั้งหลาย เพราะความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญความไม่ประมาท ส่วนความประมาท บัณฑิตติเตียนทุกเมื่อ.

Saturday, January 10, 2009

บทความที่๔๓๒. รำลึกถึงท่านข้าราชการรากหญ้า


ในห้วงเวลาแห่งการลุกขึ้นมาต่อสู้ของมวลประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะปกครองประเทศด้วยระบบเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ชายผู้นี้,ผู้ที่เราทั้งหลายได้รู้จัก สนิทสนมคุ้นเคยในแง่มุมต่างกันไป แต่มีคำบอกขานร่ำลือที่ตรงกันว่า ชายผู้นี้,ท่านข้าราชการรากหญ้า, เป็นผู้ที่รักในความยุติธรรม รักในความจริง เกลียดชังระบบกดขี่ ใส่ร้ายป้ายสี เขาจึงลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมกับมวลประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ และนั่นก็ทำให้ผมได้รู้จักเขาบนถนนแห่งการต่อสู้ที่ยังไม่จบลงในวันนี้

สิ่งที่ผมจดจำและรู้สึกผูกพันกับท่านผู้นี้ มันเริ่มในคืนวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ปีที่แผ่นดินไทยต้องมืดมิดอยู่ในเงื้อมมือของอำนาจเผด็จการ คมช. ในวันนั้นมวลประชาชนได้เคลื่อนไหวออกจากท้องสนามหลวงไปยังหน้าบ้านสี่เสาร์เทเวศร์ เพื่อกดดันประจาน ขับไล่ พ.อ.เปรม ติณสูรานนท์ นายหน้าของอำนาจระบบเก่าแก่-ระบบเผด็จการชนชั้น

คืนวันนั้น ผู้คนเริ่มทะยอยกันกลับหลังจากฝนซาเม็ดลง จึงเหลือผู้คนไม่มากเหมือนดั่งที่เคลื่อนมาจากสนามหลวง และเมื่อแกนนำประกาศผ่านลำโพงว่า ตำรวจปราบจราจลกำลังเตรียมการณ์ที่จะลงมือสลายการชุมนุมในเวลา ๒๓ น. ผู้คนก็ทยอยจากไปเรื่อยๆ และเมื่อเวลา ๒๓ น.มาถึงตำรวจพร้อมอุปกรณ์สลายการชุมนุมได้เคลื่อนตัวออกมาจากหลังกำแพงบ้านสี่เสาร์ ตั้งเป็นกำแพงสีกากีมหึมา ผู้คนทั้งหลายก็ตั้งเป็นกำแพงประชาชนพร้อมจะเข้าปะทะเมื่อสัญญาณการต่อสู้ดังขึ้น

ในความฉุกละหุกของสถานการณ์ในเวลานั้น ผมได้เห็นท่านผู้นี้,ท่านข้าราชการรากหญ้า, เราต่างดีใจที่ได้พบใบหน้าที่คุ้นเคยกันมาบ้าง กำลังใจของเราก็เพิ่มขึ้น แล้วเราก็อยู่ในท่ามกลางวงของการปะทะต่อสู้

ในระหว่างพักยกของการต่อสู้ เราต่างหากที่นั่งพักเหนื่อย ท่านข้าราชการรากหญ้าสบตาผมแล้วถามผมว่า "จะออกไปจากวงล้อมนี้ในช่วงเวลาที่ยังกลับออกไปได้,ไหม?" ผมจึงเอ่ยปากบอกว่า "พี่..กลับไปก่อนเถิดครับ สถานการณ์ยังไม่รู้ว่าจะรุนแรงขึ้นเพียงไร พี่น้องของเราก็ไม่อาจจะยกมาร่วมได้เพราะถูกกั้นไว้จากจุดอื่น ผมจะอยู่ดูสถานการณ์สักพักก่อน" ท่านข้าราชการรากหญ้าก็บอกแก่ผมว่า "พี่จะอยู่ดูอีกสักหน่อย" ผมเข้าใจความหมายนั้นจากสีหน้าของเขาได้ทันที แล้วเราก็เข้าใจความรู้สึกอันอัดแน่นในใจนี้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นเราก็พร้อมจะอยู่ร่วมชะตากรรมกับพี่น้องทั้งหลาย

ในคืนนั้น,ในที่สุดของการต่อสู้ ประชาชนถูกบังคับให้สลายการชุมนุมด้วยอาวุธแก๊สน้ำตาที่ยิงมาไม่ต่ำกว่า ๒-๓ ครั้ง, ผมดีใจที่เห็นคุณข้าราชการรากหญ้าได้หลบออกไปอย่างปลอดภัยไม่บอบช้ำ  เราได้อยู่ร่วมต่อสู้จนถึงที่สุดแล้วในวันนั้น...

เวลาก็ได้หมุนเวียนมาถึงกาลที่ประชาชนได้เคลื่อนไหวใหญ่ในคืนวันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๑ ผมได้พบกับคุณข้าราชการรากหญ้าในช่วงเวลาประมาณ ๑๖ น. พร้อมทั้งกลุ่มสมาชิกของเว็ปฟ้าใหม่ เวลาก็ผ่านไปจนถึงเวลาที่จะเคลื่อนที่จากสนามหลวงไปหน้ารัฐสภา

ในคืนวันนั้นเป็นคืนที่เขามีความสุขมาก เขายิ้มแย้มไปตลอดทาง ระยะทางถูกทำให้สั้นลงด้วยความรู้สึกฮึกเฮิมของมวลประชาชนเสื้อแดง และด้วยการปลุกกำลังใจจากแกนนำบนรถยักษ์ ตลอดระยะทางนั้นเราได้สนทนากันถึงสถานการณ์ อนาคต อุดมการณ์ ฯลฯ

และเมื่อเราผ่านพระบรมรูปทรงม้า มาจนถึงหัวโค้งถนนตรงข้ามพระที่นั่งอนันตสมาคม มวลมหาประชาชนสีแดงก็ต่างกระจายกันหาที่นั่ง เราได้นั่งลงบริเวณที่เหมาะควรตรงหนึ่ง เ ขาได้เอ่ย ระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๕๐ ว่าเราต่างก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นจากต้นจนจบ ผมก็ได้บอกกับเขาว่า

"ในคืนนั้นที่ผมไม่ออกไปจากวงล้อมของตำรวจ ไม่ใช่เพราะผมกล้าหาญอะไรหรอกครับ แต่เป็นเพราะผมไม่อาจทิ้งการต่อสู้ ทิ้งพี่น้องประชาชนทั้งหลายที่กำลังต่อสู้อยู่ หนีเอาตัวรอดไปแต่ผู้เดียวได้"

คุณข้าราชการรากหญ้ายิ้มอย่างเข้าใจในอุดมการณ์ของเราทั้งสอง เหมือนว่าคำพูดของผมนั้นจะบอกถึงสิ่งที่คุณข้าราชการรากหญ้าก็รู้สึกในเวลานั้นว่า "เราไม่อาจจะทิ้งพี่น้องที่กำลังต่อสู้ หนีไปแต่เพียงลำพังได้"

เวลาผ่านไปเกือบจะ ๒ นาฬิกา เราจึงย้ายไปนั่งรวมกับพี่น้องทั้งหลายที่กลางถนนอู่ทองใน อากาศจู่ๆก็เย็นลงอย่างทันที  คุณข้าราชการรากหญ้าเอื้อมมือหยิบเสื้อแจ๊กเก็ตสีแดงขึ้นคลุมศรีษะ ผมเข้าใจทันทีว่า เขา กำลังป้องกันความร้อนออกจากร่างกายทางศีรษะ ผมจึงส่งหมวกสีแดงให้ เขารับและสวมมันลงบนศรีษะเพราะเข้าใจถึงความปรารถนาดีนั้นของผม

เราสบตากันด้วยความเข้าใจตรงกันว่า ในคืนนี้ เวลานี้ ยังไม่มีการต่อสู้รุนแรงใดๆจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นภารกิจในคืนนี้ของเราก็ลุล่วงแล้ว เราจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปยังสามแยกอู่ทองใน เมื่อถึงสามแยก คุณข้าราชการรากหญ้าชี้มือไปทางซ้ายเพื่อบอกว่า 'จะไปทางนี้' ผมยิ้มและยกมือโบกร่ำลากัน....เป็นครั้งสุดท้าย

มือที่ผมยกโบกลาได้ลดลง พร้อมกับที่ร่างของเขาได้กลืนไปกับพี่น้องเสื้อแดงทั้งหลาย สำนึกล่วงหน้าลางอย่างได้ปรากฏเป็นความคิดขึ้นว่า การจากกันครั้งนี้เราจะไม่ได้กลับมาพบกันอีก

ในที่สุดนี้ แม้ว่าการต่อสู้ของเขา ท่านข้าราชการรากหญ้าและมวลประชาชนจะยังไม่จบสิ้น และประชาชนก็ยังไม่ได้รับชัยชนะที่มุ่งหมายคือสังคมที่ก้าวหน้า  แต่ผมขอให้ท่านข้าราชการได้วางใจ คลายความรู้สึกผูกพันในการต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้ลงเสีย ท่านได้ทำหน้าที่ของประชาชนอย่างสมบูรณ์ดีเยี่ยมแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ใครจะตำหนิในเรื่องนี้ได้เลย จิตใจของท่านกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวมากครับ

แต่ทว่า...ท่านได้พ้นจากความเป็นคนไทย ท่านเป็นอิสระแล้ว เป็นอิสรภาพอย่างสมบูรณ์ที่พ้นจากการกดขี่ ขูดรีด หลอกลวง ของระบบที่กำลังจะพังทะลายนี้แล้วครับ

ความทรงจำในการต่อสู้ร่วมกันมามันจะยังประทับอยู่ในความรู้สึกของผมไปตราบนานหรือจนกว่าผมจะจากโลกนี้ไป แต่สำหรับท่านข้าราชการรากหญ้านั้น ท่านต้องวางมันลงและไม่ยึดถือสิ่งใดๆที่ได้กระทำมา และไปสู่สุคติภพที่ประเสริฐยิ่งกว่าครับ ภพภูมิที่ประเสริฐ ปราณีต ยังรอท่านอยู่ครับ...ลาก่อนท่านข้าราชการรากหญ้า.