Wednesday, June 6, 2007

บทความที่ ๑๔๔. นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส

นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส
ส.ศิวรักษ์

นายปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำคัญยิ่งในระดับชาติของคนไทย ซึ่งไม่เคยมีใครเทียบเท่าได้ในรอบ ๑ ศตวรรษ ความสำคัญของท่านอยู่ในระดับเดียวกับ เมาเซตุงของจีน โอจิมินห์ของเวียดนาม และบัณฑิตยวาหระราล เนห์รูของอินเดีย แต่เหตุไฉนท่านจึงต้องไปตายต่างแดนดังผู้ลี้ภัย ในขณะที่รัฐบุรุษอีก ๓ ท่านนั้น ได้รับการปลงศพอย่างใหญ่ยิ่งในนามของรัฐ และมีอนุสรณ์สถานไว้อย่างมโหฬารในครหลวงนั้น ๆ ด้วย

ทั้งนี้เป็นเพราะนายปรีดี ได้เคยกระทำความผิดพลาดทางการเมืองมากระนั้นหรือ ? คำตอบก็คือ ใช่ โดยที่รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของระเทศอื่น ๆ ก็เคยทำความผิดพลาดมาไม่น้อยไปกว่าเช่นกัน เพราะสามัญมนุษย์ที่ไม่เคยทำผิด ย่อมไม่ใช่มนุษย์ แต่ในบ้านอื่น เมืองอื่น ชนชั้นปกครองมีดวงตา ที่มีแวว ที่รู้จักบวกลบคูณหาร หักประโยชน์ท่านแล้ว เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องแสดงออกซึ่งกตเวทิตาธรรม(ทั้งๆที่ผู้นำของประเทศส่วนมากไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา) ต่อรัฐบุรุษผู้เคยทำบุญคุณมากับประเทศชาติเพื่อประชาราษฎรจะได้รู้จักยึดเหนี่ยวน้ำใจไว้ที่คุณธรรมอันเป็นแกนนำของบ้านเมือง แม้ขนาดอูนุศัตรูคู่อาฆาตทางการเมืองที่ฉกาจของเนวิน ยังได้รับนิรโทษกรรมและอโหสิกรรมจากเนวิน ให้กลับมาใช้บั้นปลายแห่งชีวิตในสหภาพพม่าอย่างมีเกียรติ

ที่กล่าวมานี้ ออกจะชัดเจนแล้วว่า ชนชั้นำ ที่ปกครองบ้านปกครองเมือง ตลอดจนที่คุมสื่อสารมวลชน ทางด้านสร้างค่านิยมอยู่ในประเทศไทย ในบัดนี้ มิได้นำพาต่อปัญหาขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ สัจจะความยุติธรรม สันติธรรมและความเป็นไท กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชนชั้นนำรังเกียจประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานอันมวลชนหรือประชาราษฎร์ต้องเป็นใหญ่ ในทางความชอบธรรมเหนืออภิสิทธิ์ชนคนส่วนน้อยซึ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปด้วยความสับปรับ จอมปลอมและหลงละเมอไปกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ทางไสยศาสตร์ตลอดจนของปลอมอื่น ๆ ในทางยศักดิ์อัครฐานและกามสุขาลิกานุโยคอันแสดงออกทางการเสพวัตถุเกินพอดีในวิถีชีวิตของเขาเหล่านั้น

พูดกันอย่างไม่เกรงใจก็คือ ชนชั้นนำของเราที่ควบคุมเศรษฐกิจ การเมืองการและการทหาร ตลอดจนข้าราชการพลเรือนและภิกษุสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์สูงเป็นจำนวนไม่น้อย พากันนับถือพระพุทธศาสนาที่ริมฝีปาก หรือประยุกต์ใช้ด้วยความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง หาไม่ก็มิได้นำพระพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ให้ถึงแก่น ให้เหมาะกับปัญหาของสังคมและการเมืองร่วมยุคร่วมสมัย หากไม่ไหนเลย เราจะสอนศิษย์ของเราให้แสดงกตัญญกตเวทีโดยเราเองไม่เคยถึงแก่น หากแสดงกันตามรูปกแบบพิธีกรรม และใครแสดงเข้าอย่างจริงจังและจริงใจ เราก็เกลียดและโกรธดังกรณีที่นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงมาแล้วกับนายปรีดี พนมยงค์ ด้วยการที่เขาเป็นคนไทยที่ไปแสดงความเคารพต่อท่านที่ปารีสเป็นคนแรกอย่างเปิดเผย ผลก็คือนั่นเป็นจุดเริ่มที่นายป๋วยถูกผลักดัน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ให้ออกพ้นสังเวียนชนชั้นนำของไทยไป

ยิ่งเรื่องประชาธิปไตยด้วยแล้ว ชนชั้นนำของเราแทบทุกระดับไม่มีศรัทธาปสาทะเอาเลย หลายคนยังอยู่ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นตัวนำความหายนะมาให้ประเทศไทยในทุก ๆ ทาง.. ทั้ง ๆ ที่กำพืดของสฤษดิ์ก็เป็นไพร่ และเรามีอนุสาวรีย์ของไพร่ที่ไหนบ้างไหม เว้นไว้เสียแต่คนนั้น ๆ จะถูกฆ่าตาย หรือใช้ประโยชน์ในการการเมืองจากคนนั้น ๆ ได้ต่างหาก

แม้ที่สุดจนชื่อเขื่อน ชื่อมหาวิทยาลัย เราเคยนำชื่อของไพร่และขุนนาง ที่ทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองมาตั้งขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติบ้างหรือเปล่า ยิ่งราษฎรตาดำ ๆ ด้วยแล้ว อย่าได้พึงหมายว่าจะได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างจริงจังเลย เว้นไว้แต่เพียงในฐานะสมุหนาม เพียงแค่ริมฝีปาก เพื่อผู้สรรเสริญนั้น ๆ จะได้ยศศักดิ์อัครฐานหรือ เงินตรายิ่ง ๆ ขึ้นไปเท่านั้นเอง เพื่อเขาจะได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมและหลงอำนาจวาสนาบารมีของตนเองต่อไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

ที่จริงสมัยนี้เราไม่ได้ถอยไปสู่สมัยสฤษดิ์เท่านั้น หากเราพยายามถอยไปสู่สมัยราชาธิปไตยเสียซ้ำ ดังที่เราเน้นที่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่มีการคำนึงถึงรัฐธรรมนูญ หรือฐานอำนาจที่ทวยราษฎร์กันเลย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ละอายอะไรกันเลยกับประชาธิปไตยครึ่งใบเสี้ยวใบ หรือแม้ที่สุดจนจะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเสียอีกเมื่อไรก็ได้

คำตอบของเราเวลานี้ดูจะมุ่งไปที่สถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ ไปที่อำนาจอันแฝงเร้น และไปที่ผู้กุมอำนาจทางทหาร เราไม่เชื่อเลยว่าราษฎรมีความสามารถและเป็นพลังอันมหาศาล ที่เมื่อผนวกกับความชอบธรรมเข้าแล้วสามารถต้านกระแสอธรรมใด ๆ ก็ได้ มิใยว่าฝ่ายนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงใดก็ตาม เราพยายามทำลายพลังของผู้นำกรรมกร เราพยายามบั่นทอนการรวมตัวกันของผู้นำกสิกร ดังเราได้พิฆาตฆ่าลูกหลานของเราในมหาวิทยาลัยมาแล้ว ด้วยเลือดอันเย็นไม่แพ้เดรัจฉาน

ชนชั้นนำของเราเวลานี้ ถ้าอ่านคำแถลงการของคณะราษฎรฉบับที่ ๑ ซึ่งประกาศออกมา ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ แล้ว หลายต่อหลายคน ยังมีโลหิตฉีดแรง และเดือดพล่านอยู่ เพราะแถลงการณ์ฉบับนั้นท้าทายสถาบันเจ้า โดยถือว่า ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็ต้องโง่เช่นกัน ถ้าเรายังรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ เรายังเป็นประชาธิปไตยกันไม่ได้ และคนอย่างท่านปรีดีฯ ก็จะได้รับอโหสิกรรมไม่ได้

ท่านปรีดี พนมยงค์จะได้รับเกียรติยศอย่างแท้จริงจากประชาราษฎร ก็ต่อเมื่อราษฎรได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน !

และแถลงการณ์ของท่านปรีดีฉบับนี้ กลายเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เยาวชนของเราทุกคนต้องนำมาอ่านกันในชั้นเรียน ดังที่รุ่นพ่อของเราเคยเรียนเรื่อง “สมบัติผู้ดี” ของเจ้าพระยาเสด็จสุเรนทราธิบดีมานั้นเอง

ชนชั้นนำทางการศึกษาของเราหลายต่อหลายคนยังต้องการกลับไปหาหนังสืออย่าง “สมบัติผู้ดี” โดยที่เราควรแสดงหาหนังสือเช่น สมบัติไพร่ และเราควรฝึกผู้นำในอนาคตของเราให้เป็นไพร่ ให้เป็นกสิกร ให้เป็นกรรมกร กล่าวคือให้ภูมิใจในศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงาน ซึค่งไม่เอารัดเอาเปรียบใครและไม่ยอมให้ใครเอารัดเอาเปรียบ หากให้มีการเกื้อกูลกันอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ให้เลิกการหมอบกราบคลาน ดังสัตว์เลื้อยคลานอีกต่อไป ซึ่งเราเห็นได้ชัดตามโทรทัศน์และสื่อมวลชนที่มอมเมาต่างๆ รวมทั้งนวนิยายน้ำเน่าทั้งหลายด้วย ทั้ง ๆ ที่พระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงประกาศให้เลิกการกระทำเช่นนี้มาก่อน ท่านปรีดี พนมยงค์เกิดเสียด้วยซ้ำ

อีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านปรีดี พนมยงค์ต้องการนำพระราชปณิธานของพระจุลจอมเกล้าฯ ในเรื่องปาเลียเมนท์และคอนสติติวชั่นให้สัมฤาธิ์นั้นเอง แต่เผอิญท่านปรีดีเป็นไพร่ และหาญไปท้าทายสถาบันเจ้าเข้า เจ้าที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และพวกที่หาผลประโยชน์จากเจ้าจึงรุมกัดลอบกัด จนท่านปรีดีต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ไปจนตราบอายุขัย มิใยว่านายปรีดีจะทำบุญคุณอันยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้าเพียงใด โดยที่นิทานชาวนากับงูเห่านั้นเองควรเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับคนอย่างท่านปรีดี พนมยงค์

ก็ใครเล่า ที่ปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม ซึ่งนอกจากจะข่มขู่เจ้านายและองค์พระประมุขแล้ว ยังเคยคิดตั้งตัวเป็นกษัตริย์เสียเองด้วยซ้ำ ใครเล่าที่ถวายอารักขาสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอย่างใกล้ชิดและห่วงใย ใครเล่าที่ช่วยบันดาลให้เกิดหอสมุดดำรงราชานุภาพ (ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าอิฐปูนใด ๆ ที่มักนิยมสร้างถวายเจ้าในสมัยหลัง) ใครเล่าที่ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่นักโทษชายรังสิต ประยูรศักดิ์ แล้วถวายพระราชอิสสริยายศคืนขึ้นเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรทร และที่สำคัญอันสุดท้ายนั้นก็คือ..

ถ้าท่านปรีดี พนมยงค์ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่เคยสั่งสอนอาชญากรรมวิทยามาแต่วัยรุ่น บอกให้อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชันสูตรพระบรมศพตามกระบวนการกฎหมายอาญาแต่เมื่อแรกสวรรคต และจับกุมผู้ที่กล้าบังอาจพลิกพระศพ เย็บพระศพ นำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับพระศพไปซัก ไปฝัง ฯลฯ เพื่อปิดบังความพิรุธ ป่านนี้ท่านปรีดี พนมยงค์ก็ยังคงเป็นรัฐบุรุษอาวุโสอยู่ในประเทศไทย และการอสัญกรรมของท่านจะเป็นงานศพอันมีเกียรติยิ่งสำหรับราษฎรชาวสยาม โดยที่ผู้นำของรัฐบาลและชนชั้นนำอื่น ๆ จะไม่กล้านิ่งเงียบดังอมสากอยู่ในปากดังเช่นในบัดนี้ หากทุกคนจะเอ่ยถึงวีรกรรมของท่าน ในฐานะผู้นำทางด้านประชาธิปไตย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือท่านปรีดีเป็นผู้นำในการกอบกู้เอกราชให้ชาติไทย ในสงครามโลกครั้งที่ ๒

วีรกรรมชิ้นนี้ ไม่ด้อยไปกว่าพระนเรศวรและพระเจ้าตากสินเลยทีเดียว !!!

โดยที่อีกร้อยปีข้างหน้า เราไม่อาจปฏิเสธคุณค่าอันวิเศษข้อนี้ของเขาได้ แม้ในบัดนี้เราจะปล่อยให้อคติครอบงำสัจจะไว้ก็ตาม ดังที่พระเจ้าตากสินก็เคยเผชิญชะตากรรมมายิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ เมื่อสองศตวรรษมานี้เอง


บทความนี้พิมพ์ครั้งแรกใน ไทยแลนด์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๖ มหาวิทยาลัยราคำแหงอัดโรเนียวแจกในวันอภิปรายคล้ายวันปลงศพนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๖

No comments: