Friday, June 15, 2007

บทความที่ ๑๕๗. ศิวรักษ์สำนึก ตอนที่ ๒

ตอนที่ ๒.

เวลานั้น นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ สอนอยู่เคมบริดจ์ ข้าพเจ้าออกไปเยี่ยมท่าน ท่านบอกว่าท่านเสียใจในข้อเขียน ๒ ชิ้นนี้ ในกรณีท่านเห็นว่า “อาจารย์ปรีดีผิดมากกว่าคุณ ที่ไปโจมตีคุณขึ้นก่อน ทั้งนี้เพราะท่านโกรธคุณมาแต่คราวที่คุณเขียนวิจารณ์ The Devil’s Discus นั้นแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ตอบหรือตอบน้อยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน คุณจะได้แต้มมาก” นอกจากนี้นายป๋วยยังได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเกี่ยวกับนายปรีดีอีกมาก ท่านว่า “สำหรับผม อาจารย์ปรีดีเป็นผู้บริสุทธิ์ในกรณีสวรรคต แต่สำหรับคุณสุลักษ์คุณจะเชื่ออย่างไรก็ได้ นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณ แม้เราจะเห็นต่างกันเราก็เป็นเพื่อนกันได้ ที่จริงคุณกับผมยังมีความเห็นต่างกันอีกมาก เป็นแต่เรามักไม่ได้จาระไนข้อแตกต่างของเราสู่กันเท่านั้น”

คำพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดหนัก เพราะคุณป๋วยเป็นสัตบุรุษทั้งพูดวาจาสัตย์มาตลอด ช่วงนั้นท่านถูกจอมพลถนอม กิตติขจรเขี่ยออกไป ต่อมาทั้งข้าพเจ้าและนายป๋วยก็ถูกเขี่ยออกไปอยู่ด้วยกันที่อังกฤษในช่วงสมัยธานินทร์ กรัยวิเชียร ท่านเล่าเรื่องนายปรีดีให้ข้าพเจ้าฟังอีกมาก ทั้งนัยลบนัยบวก แต่ไม่เคยชักชวนให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนทัศนคติของตนเองเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ทั้งท่านยังเคยชวนข้าพเจ้าไปหานายปรีดีที่ปารีสด้วย แต่ข้าพเจ้าเป็นคนเจ้าทิฏฐิ หายอมไปไม่ และลึก ๆ ลงไปก็กลัวนายปรีดีไล่ออกจากบ้านด้วย แม้จะมีคนเคยบอกมาก่อนหน้านี้แล้ว ว่าถ้าไปหาท่าน ท่านจะดีด้วยอย่างแน่นอน

จากจุดเริ่มต้นทำนองนี้ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าย้อนถามตัวเองว่า เราก็รู้จักคนที่สนิทกับนายปรีดีเป็นหลายคน ทำไมเราจึงไม่สืบถามทัศนคติของบุคคลนั้น ๆ เกี่ยวกับนายปรีดี อย่างกรณีสวรรคต เราก็ควรถามคนที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดโดยตรงจึงจะควร มาด่วนเชื่อหนังสือเช่นของรัตน์ ดวงแก้ว(วิมลพรรณ ปิตธวัชชัยป และสรรใจ สมวิเชียร หาควรไม่ เพราะนี่แกเด็กรุ่นใหม่กว่าเราซึ่งมีอคติไม่แพ้เรา โดยที่สุพจน์ ด่านตระกูล ก็นำข้อเท็จจริงที่ต่างออกไป มาตีแผ่สู่กันแล้วด้วย

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจีงเริ่มทำการบ้าน นำเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสารคดีสวรรคตมาอ่านใหม่ รวมทั้งเอกสารที่ข้าพเจ้าไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน เช่นถ้อยคำของพระยาศรยุทธเสนี ตลอดจนมีหลักฐานใหม่เกิดขึ้นที่นายตี๋ ศรีสุวรรณไปบวชแล้วกลัวบาป สารภาพผิดออกมารวมอยู่ด้วย ใช่แต่เท่านั้นข้าพเจ้ายังซัก ม.ล.ปุ๋ย ชัยนาม และนางเอดวิน สแตนตันภรรยาเอกอัคราชทูตอเมริกันที่แรกเข้ามาถึงพระราชอาณาจักรในช่วงกรณีสวรรคตนั้นด้วย

โดยที่นางสแตนตันได้แนะนำแพทย์อเมริกันที่ชันสูตรพระบรมศพให้ข้าพเจ้ารู้จักอีกด้วย แกเองยืนยันกับข้าพเจ้าว่าจำเลยทั้ง ๓ นั้นบริสุทธิ์ การตายของเขาเป็นการเสียสละชีวิตเพื่อความอยู่รอดของราชบัลลังก์อันนับเป็นชาติพลีอย่างสูง แกว่าประชาชนนอนาคตจะซาบซึ้งในบุญคุณของเขา

นางสแตนตันกับท่านผู้หญิงพูนศุขมีอะไรที่ขัดใจกันอยู่ แต่แกก็ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ยิ่งนัก ส่วนคุณหญิงปุ๋ยเล่าถึงงานพระบรมศพแต่แรก และการที่เจ้านายเปลี่ยนทีท่าจากความเป็นกันเองมาเป็นความเย็นชา ฯลฯ นับว่าน่าสนใจยิ่ง

ใช่แต่เท่านั้น ข้าพเจ้ายังสืบเสาะจนได้ข้อเท็จจริงจากเจ้านายบางองค์อีกด้วย ว่าเมื่อวันเสด็จสวรรคตนั้น กรมขุนชัยนาทนเรนทร เสด็จไปที่สายนัดดาคลีนิค ภายหลังจากการถวายบังคมพระบรมศพ โปรดให้แพทย์ถวายยาฉีด บำรุงพระกำลัง พลางทรงบ่นว่า “เตือนแล้ว อย่าให้เล่นปืนกันทั้ง ๒ องค์ พอเล่นกันเข้า มันก็ต้องพลาดพลั้งอย่างนี้แหละ” หมอคนนั้นทูลเจ้าองค์นี้ โดยที่ทรงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอีกต่อหนึ่ง แม้นี่จะไม่ใช่ประจักษ์พยาน แต่ก็ช่วยคลี่คลายให้ข้าพเจ้าหายข้อกังขาในเรื่องการลอบปลงพระชนม์โดยสิ้นเชิง ทำให้เห็นว่าการวิจารณ์เรื่อง The Devil’s Discus” ของข้าพเจ้านั้นผิดพลาดโดยแท้

นอกไปจากนี้แล้ว ทัศนคติของข้าพเจ้าในเรื่องราชาธิปไหตยและประชาธิปไตย ได้คลี่คลายขยายตัวเรื่อยมา จาก ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าราชาธิปไตยไร้ธรรม ก็ไม่ผิดไปจากราธิปไตย ประชาธิปไตยก็เช่นกัน ต้องมีธรรมะเป็นรากฐาน ราษฎรจะเป็นใหญ่ได้ก็ต้องประกอบไปด้วยความชอบธรรม นี้ฉันใด พระราชาก็ฉันนั้น ข้าพเจ้าเริ่มมีเครื่องหมายปรัศนีย์เกี่ยวกับความชอบธรรมของชนชั้นปกครองที่สูงส่งยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกทีจึงเห็นว่ากรณีสวรรคตนี้ ระบบการเสแสร้งและกลั่นแกล้งคงจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่ทหาร สันติบาล และพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ดีร้ายจะขึ้นไปสูงส่งกว่านั้นเอาเลยทีเดียว โดยที่พฤติกรรมต่อ ๆ มา ส่อว่าทัศนะของข้าพเจ้าถูกต้องยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที

ทางด้านปารีสนั้น แม้นายปรีดีจะไม่เคยมีการติดต่ออะไรกับข้าพเจ้าโดยตรง แต่ก็มีคนมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ว่าลูกท่านบางคนได้ต่อว่าท่าน ว่าการที่ท่านเขียนโจมตีข้าพเจ้านั้น ท่านเป็นฝ่ายผิด เพราะแม้ข้าพเจ้าจะเห็นต่างจากท่าน และปรักปรำท่าน ข้าพเจ้าก็มีสิทธิ์อย่างน้อยข้าพเจ้าเป็นคนรักความยุติธรรม การตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้รักความยุติธรรมนั้นไม่ถูกต้อง แม้จะเห็นต่างกัน ก็น่าจะเป็นแนวร่วมกันได้ หาไม่ ท่านจะไม่มีแนวร่วมเลย นอกจากบริษัทบริวารและผู้ที่เห็นพ้องต้องด้วย เพราะฝ่ายราชาธิปไตย (ดังที่นายปรีดีเรียกว่า “ผู้ที่ตั้งตัวเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา”) ก็เกลียดท่าน ฝ่ายเผด็จการทหารก็ไม่ต้องการท่าน ฝ่าย พ.ค.ท.ก็หาทางลบล้างเกียรติคุณของท่าน

ได้ทราบมาว่าท่ายอมรับคำเตือนดังว่านี้ แสดงว่าท่านมีขันติธรรมและมีความชอบธรรมอยู่ในใจ ผิดไปจากผู้ใหญ่เป็นจำนวนมากที่ในประเทศนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดีเป็นอย่างสูง ซึ่งรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ไม่ได้เลย และข้าพเจ้าไม่พร้อมที่จะเคารพนับถือใครถ้าเขาคนนั้นไม่รับฟังคำคัดค้าน ตักเตือน หรือโจมตีใด ๆ ไม่ว่าเขาจะสูงส่งเพียงใดก็ตาม

ต่อแต่นั้นมา แม้นายปรีดีจะไม่เคยติดต่อกับข้าพเจ้า ท่านผู้หญิงพูนศุขก็มักส่งข้อเขียนของท่าน และเอกสารหลักฐานต่าง ๆ มาให้ได้อ่านอยู่เนือง ๆ บางครั้งท่านส่งมาให้ถึงข้าพเจ้าเป็นคนแรกเสียด้วยซ้ำ

เราเป็นเด็ก จะไปให้ผู้ใหญ่ลดตนลงมาหาเรายิ่งกว่านี้จะได้ละหรือ และมาถึงช่วงนี้ ทัศนคติของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปมากแล้ว รับรู้ข้อมูลใหม่ ๆ มามากแล้ว แม้จะช้าแต่ก็ไม่ขืนหลับหูหลับตาอยู่ต่อไปอีก

ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจว่า ทำไมนายปรีดีจึงต้องเขียนป้องกันตัวเอง ทำไมท่านต้องฟ้องเรื่องคดีหมิ่นประมาทอยู่เรื่อยๆ ข้าพเจ้าเริ่มเห็นถึงความฉ้อฉลที่ปลุกปั่นมหาชนให้มองท่านไปในทางลบ

ถ้าข้าพเจ้าเองไม่เผชิญเหตุการณ์(อย่างที่ท่านปรีดี ถูกกระทำ)ด้วยตนเอง ที่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ที่หนังสือถูกเผาเป็นเรือนแสน ที่ภรรยาเกือบถูกเอาเข้าคุกเข้าตะราง และชื่อเสียงเกียรติคุณต้องมัวหมอง ข้าพเจ้าจะเข้าใจนายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขได้หรือไม่ ??? สงสัยอยู่

โดยที่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้รับชะตากรรมจากรัฐและหน่วยงานของรัฐ ไม่ถึงหนึ่งในร้อยที่ท่านทั้งสองและลูก ๆ เผชิญมา ในขณะที่ข้าพเจ้าก็หาเคยทำบุญคุณอันใดให้กับบ้านเมืองเป็นเศษหนึ่งส่วนพันอันท่านปรีดีได้เคยกระทำมาแล้วนั้น เช่นกัน

No comments: