Sunday, April 29, 2007

บทความที่ ๑๒๓. บันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันท์ ตอนที่ ๖

ตอนที่ ๖ ไปพบท่านปรีดี พนมยงค์

บัดนี้เป็นการแน่นอนแล้วว่า คณะรัฐประหารต้องการตัวข้าพเจ้าและสั่งจับอย่างเงียบ ๆ บ้านพักของข้าพเจ้าที่ซอยบ้านดอน ถูกล้อมและเข้าทำการตรวจค้น โดยทหารได้ยึดอาวุธปืนไปหลายกระบอก การระส่ำระสายเกิดขึ้นโดยทั่ว ๆ ไปภายในพระมหานคร เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องหลบออกไปให้พ้นวิถีแห่งการปั่นป่วนเสียเป็นการชั่วคราว

ข้าพเจ้าเดินทางไปชลบุรีโดยมิชักช้า เพราะอธิบดีของข้าพเจ้ายังอยู่ที่นั่น และยังมิได้ถูกปลดออกจากประจำการ ก็พอที่จะคุ้มครองให้ความปลอดภัยแก่ข้าพเจ้าได้ พอท่านอธิบดีเห็นข้าพเจ้าเข้าเท่านั้นก็รีบกล่าวขึ้นว่า

“ไม่ไปพบอาจารย์บ้างหรือ ?”

คำว่า “อาจารย์” ข้าพเจ้าเข้าใจทันทีว่า มีความหมายถึงท่านปรีดี พนมยงค์ ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะต้องตอบท่านว่าอย่างไร ก็ได้ยินเสียงพูดออกมาอีกว่า

“อยู่สัตตหีบ..ไปเยี่ยมซิ !”

“ครับ”

ข้าพเจ้าตอบรับทันที ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้รายงานให้ท่านทราบถึงรายละเอียดในการที่ได้พบจอมพล ป.พิบูลสงคราม ท่านก็ได้แต่บอกว่าให้พวกเราอยู่เฉย ๆ ไปก่อนดูท่าทีเขาว่าจะทำอย่างไรต่อไป

บ้านพักของท่านอธิบดีอยู่ริมถนนสายใหญ่จากกรุงเทพฯ ไปชลบุรี ด้านซ้ายมือติดกับวัดเขาบางทรายเป็นเนินดินที่สูงกว่าธรรมดาเล็กน้อย หลังบ้านออกไปนั้นเป็นไร่กล้วยค่อย ๆลาดสูงขึ้นไปยังภูเขาลูกใหญ่บนยอดภูเขานั้นมองเห็นเจดีย์ตระหง่านอย่างสวยงาม อากาศแจ่มใส ภายในบ้านรู้สึกว่ามีบรรยาการที่คึกคักมาก เพราะมีนายทหารและนายสิบพลทหารแห่งกรมสารวัตรติดตามมาอยูด้วยหลายสิบคน ส่วนพวกที่มาเยี่ยมก็ผลัดกันเข้าออกอยู่เรื่อย ๆ อาวุธทุกแบบวางเรียงอยู่เป็นตับและพร้อมอยู่เพื่อการต่อสู้ ที่หน้าบ้านนั่นเล่าก็มีทหารเรือในเครื่องแบบยืนรักษาการณ์ให้ความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ส่วนตัวท่านอธิบดีนั้นก็สาระวนอยู่กับการต้อนรับทหารแห่งกรมสารวัตรที่มาเยี่ยมเยี่ยน

ข้าพเจ้ารีบเดินทางต่อไปยังสัตตหีบโดยเร็ว เพื่อต้องการพบท่านปรีดี พนมยงค์ ข้าพเจ้าขับรถด้วยตนเองฝุ่นตลบและไม่ได้หยุดพักแห่งใด ภายหลังเมื่อข้าพเจ้าได้แจ้งความประสงค์แก่นายทหารประจำกองรักษาการณ์นั้น เขาได้หมุนโทรศัพท์เข้าไปขอรับอนุมัติจากภายในเสียก่อน ข้าพเจ้าจึงสามารถผ่านกองรักษาการณ์นั้นเข้าไปได้

รถของข้าพเจ้าหยุดลงที่หน้าบ้านพลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ ณ ชายทะเลอ่าวตากัน เมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปบนบ้านยกพื้นสูงนั้น พลันก็ได้พบท่านปรีดี พนมยงค์เดินตรงออกมารับข้าพเจ้าเหมือนดั่งว่าได้ทราบมาก่อนแล้วว่าข้าพเจ้าจะเข้ามา ท่านตรงเข้ามาสวมกอดข้าพเจ้าอย่างดีอกดีใจ พร้อมทั้งกล่าวขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เออ, เฉียบมา ๆ...”

ก่อนอื่นข้าพเจ้าเรียนกับท่านว่า

“ผมถูกเขาสั่งปลดแล้วครับ”

แทนที่ท่านจะโศกเศร้าไปกับข้าพเจ้า กลับชอบใจหัวเราะร่าและพูดขึ้นดัง ๆ ว่า

“เออดี,มันโง่..มันไล่เสือเข้าป่า ถ้ามันฉลาดจะต้องเรียกคุณเข้าประจำกองบัญชาการให้อยู่ใกล้ ๆ ถ้าต้องการตัวเมื่อใดก็ตะบบเอาง่าย ๆ ดีกว่า แล้วคุณก็ไม่ไปไหนเพราะเป็นห่วงตำแหน่ง...”

ข้าพเจ้าพลอยหัวเราะไปกับท่านด้วยเพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้เห็นจริงจังดั่งที่ท่านได้กล่าวนั้น เหมือนกับท่านได้เปิดฝาที่ครอบโปมองเห็นทะลุลูกเต๋า คณะรัฐประหารสั่งการเกี่ยวกับกรณีของข้าพเจ้าผลีผลามไปสักหน่อย จึงดำเนินการผิดพลาดไม่ได้ตัวข้าพเจ้าตลอดเวลาอันยาวนาน

เมื่อข้าพเจ้าถามท่านว่า “แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไปล่ะครับ ?”

ท่านปรีดีตรงเข้ามาฉุดข้อมือข้าพเจ้าลงจากเรือนไม้หลังนั้นไปยังศาลาพักร้อนหลังบ้าน ณ ที่นั้นเป็นหลังคามุงจาก มีโต๊ะและเก้าอี้ ตั้งไว้เรียบร้อย ท่านชี้ให้ข้าพเจ้านั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า

“ผมน่ะสู้เขา...เราถูกข่มเหง, นี่ผมกำลังวางแผนการอยู่...โน่นเตียงก็มาพักอยู่ที่บ้านหลังโน้น” พร้อมทั้งคำพูดท่านบุ้ยปากไปยังบ้านหลังถัดไป

ข้าพเจ้ามิทันจะตอบประการใดท่านก็ถามข้าพเจ้าขึ้นมาอีกว่า

“ผมขอมอบหน้าที่ในการยึดกรมตำรวจให้เป็นหน้าที่ของคุณ จะทำได้ไหม ?”

ข้าพเจ้างุนงงเมื่อได้ฟังคำของ “รูธ” หัวหน้าขบวนการเสรีไทยถามว่า ข้าพเจ้าจะสามารถยึดกรมตำรวจได้หรือไม่ ? เพราะมันช่างตรงข้ามกับคำสั่งของอธิบดีของข้าพเจ้าที่บอกว่า เราจะไม่ต่อต้านการรัฐประหารครั้งนี้และให้ชลอเวลาดูเขาต่อไป นี่ย่อมแสดงว่าความขัดแย้งได้เกิดขึ้นภายในแล้ว

แต่เมื่อพูดถึงการต่อสู้สำหรับข้าพเจ้านั้นก็พร้อมและยินดีจะรับหน้าที่นั้น เพราะเรายังถือว่ารัฐบาลของนายถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ยังมีชีวิตอยู่ ถ้ามีการต่อต้านขึ้นก็ย่อมหมายความว่าเป็นการปราบปราม “กบฏ” ซึ่งเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อสลัดความงุนงงออกแล้ว ข้าพเจ้าก็รับปากกับท่านว่า

“ได้ครับ”

“จะเป็นที่หนักใจมากไหม ?”

ข้าพเจ้าหัวเราะแทนคำตอบและไม่ลืมคุยเขื่องกับท่านว่า

“ง่าย ๆ ครับ ไม่ยากอะไร...”

“ถ้าเช่นนั้นเอาไปนอนคิดเสียคืนหนึ่งก่อน พรุ่งนี้จึงมาคุยกันใหม่ว่าจะทำอย่างไรกันดี โน่นไปคุยกับเตียงเขาซิ..” พร้อมทั้งคำพูดท่านชี้มือไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กัน

ข้าพเจ้ามิได้ไปหานายเตียง ศิริขันธ์ ดั่งที่ท่านชี้ให้แต่อยากจะคุยกับบุรุษผู้ยกแก้วใส่น้ำสีเหลือง ๆ มาให้ข้าพเจ้าคือ “บัว กลางการ” และอีกผู้หนึ่งคือ “ส.ต.ต.สิงห์โต ไทรย้อย” ตำรวจอารักขาประจำตัวท่าน เวลานี้ทั้งสองนั่งอยูที่ใต้ถุนบ้าน ข้าพเจ้าเร่เข้าไปจับมือเขย่าทั้งสองคน แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้นเพราะข้าพเจ้าอยากจะทราบว่า ท่านปรีดี พนมยงค์นั้นได้ดำดินมาโผล่ขึ้นที่สัตตหีบได้อย่างไร จึงได้ตั้งคำถามขึ้นก่อนว่า

“ไง สิงห์โต มากันได้อย่างไร...?”

ส.ต.ต.สิงห์โต ยิ้มน้อย ๆ และเริ่มเล่ารายละเอียดให้ฟังอย่างแจ่มแจ้ง

No comments: