Friday, April 27, 2007

บทความที่ ๑๑๙. บันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันท์ ตอนที่ ๒


ทหารฝ่ายรัฐประหารกลุ่มหนึ่งมายืนออกันที่หน้าบ้านตรงหน้าประตูเพื่อหาทางที่จะปีนป่ายประตูเข้าไป นอกจากนั้นก็ใช้คูหน้าบ้านเป็นที่กำบัง ทหารผู้รับผิดชอบในการทำให้ประตูรั้วบ้านเปิดให้จงได้นั้น ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะกลุ้มใจไม่ใช่เล่น เพราะมันเป็นประตูที่แน่นหนา เกินกว่าประตูธรรมดา อีกทั้งหากจะพรวดพราดเข้าไปก็ไม่แน่นักว่าจะไปเจอกับอะไรเข้าในระหว่างที่กำลังรีรออยู่นี้เอง ชายเคราะห์ร้ายคนหนึ่งกำลังเดินมาตามถนน ได้ถูกจับและได้ถูกบังคับให้ปีนป่ายประตูหน้าบ้านเข้าไปถอดกลอน เมื่อชายเคราะห์ร้ายนั้นไม่ได้อยูในเครื่องแบบของทหารก็ย่อมเป็นความปลอดภัยขั้นมูลฐานอยู่แล้ว ดังนั้นประตูบ้านจึงได้เปิดออกมาได้ และพร้อมกันไฟฟ้าทั้งตัวตึกก็สว่างพรึบขึ้นพร้อมกัน กำลังทหารบกมาออรวมกันทันทีที่หน้าประตูบ้านหลายสิบคน แต่ได้เฉลียวใจไม่ว่าด้านหลังของเขา ณ มุมหักซอยสุภางค์นั้นมฤตยูรออยู่ หากว่าบังเอิญเราเกิดเหนี่ยวไกขึ้น แน่นอนเหลือเกินจะต้องเกิดนองเลือดขึ้นและชีวิตของพี่น้องชาวไทยหลายสิบคนจะต้องจากไปโดยไม่มีความหมายต่อประเทศชาติเป็นอย่างไร

ข้าพเจ้าตะแคงหูฟังอยู่แต่ว่าได้เกิดเสียงยิงจากภายในบ้านออกมาหรือเปล่า หากว่าเกิดเสียงยิงจากในบ้านออกมาเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จำเป็นที่จะต้องทำการยิงตัดกระหนาบเข้าไป เหงื่อเม็ดโป้ง ๆ เกาะอยู่ที่หน้าผากและซอกคอของข้าพเจ้าด้วยอาการตื่นเต้น รอคอยเวลาแห่งการต่อสู้ที่ช่างเนิ่นนานเสียเหลือเกิน หลวงสถิตย์ยุทธการ ชาวรัฐประหารคนสำคัญพร้อมด้วยนายทหารหนุ่มและนายสิบพลทหาร ๕-๖ คนถือปืนเล็กยาวติดดาบปลายปืนพร้อมได้ก้าวเท้าสวบ ๆ เข้าไปในบ้านท่านอธิบดี คุณหญิงเฉลิมภรรยาของท่านอธิบดีออกต้อนรับที่ห้องรับแขก

ฉากแห่งการเจรจาก็เกิดขึ้น ไม่มีอะไรผิดไปจากที่ข้าพเจ้าได้คาดคิดไว้ คือมาเชิญตัวท่านอธิบดีกรมตำรวจไปกระทรวงกลาโหม เมื่อได้รับคำตอบว่าท่านอธิบดีได้ออกจากบ้านไปเสียแล้วเรื่องก็จบ หลวงสถิตย์ยุทธการได้กล่าวออกตัวว่า สำหรับตัวของเขาเองนั้นไม่มีอะไร ที่มาที่นี่ก็เพราะผู้บังคับบัญชาสั่งให้มาเท่านั้น นายทหารหนุ่มคนหนึ่งก็กล่าวอย่างกันเองว่า “นายเขาสั่งผมมาครับ ถ้าผมไม่มาผมก็จะมีความผิดเลยต้องมา รถถังที่จอดหน้าบ้านนั่นก็เก่าแก่ทรุดโทรมใช้รบไม่ได้แล้วครับ ต้องซ่อมกันอยู่เรื่อย ว่าที่ถูกแล้วรถคันนี้ควรขายเป็นเศษเหล็กไปได้แล้ว” บรรยากาศในการเจรจาช่างเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง เป็นบรรยากาศแห่งมิตรภาพมากกว่าที่จะเป็นบรรยากาศแห่งปรปักษ์ ไม่ได้มีการก้าวร้าวหรือทำให้เกิดการระคายเคืองแต่อย่างใด

พลันเสียงปืนกลก็รัวขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหวในระยะใกล้ ไม่ทราบว่าเป็นเสียงปืนของฝ่ายใด หลวงสถิตย์ยุทธการ ชาวรัฐประหารคนสำคัญซึ่งกำลังนั่งเจรจาอยู่ที่เก้าอี้ในห้องรับแขกนั้นก็สะดุ้งตกใจโผออกจากเก้าอี้ลงไปหมอบกระแตอยู่ที่พื้นในห้องรับแขกนั้นเอง ต่อหน้าคุณหญิงเฉลิมภรรยาคู่ทุกข์ของท่านอธิบดีซึ่งยังคงนั่งอยู่ ณ ที่เก่าด้วยสติที่มั่นคงกว่า อาการเหล่านี้เกิดขึ้นในท่ามกลางสายตาของนายตำรวจหลายสิบคน และเป็นอาการที่ก่อให้เกิดการอมยิ้มไปตาม ๆกัน

พลประจำปืนกลของข้าพเจ้ากระโดดเข้าประจำหน้าที่โดยเร็วที่สุด ประทับพานท้ายปืนแมดเสนแน่นอยู่กับร่องบ่า ห้ามไกถูกปลดออกอย่างรวดเร็ว นิ้วชี้ก็ถูกสอดเข้าไปในโกร่งไกเล็งไปที่บริเวณประตูหน้าบ้านท่านอธิบดีพร้อมที่จะลั่นไกอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเอาศอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงของเขาเบา ๆ แล้วว่า

“เดี๋ยว ๆ ...”

พลประจำปืนนิ่ง นิ้วชี้ผละออกจากโกร่งไกหันหน้ามายังข้าพเจ้าในท่ามกลางความมืดเป็นเชิงเหมือนจะถามข้าพเจ้าว่า

“จะยังไม่เอาอีกหรือ ?”

“เดี๋ยว ๆ ...ฟังให้แน่เสียก่อนว่าเสียงปืนนั้นมาจากไหน” ข้าพเจ้าบอกเขา

พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงกระสุนก็ดังขึ้นมาอีก ๒-๓ ชุด กระสุนแล่นเคี้ยวคว้าวข้ามหัวพวกเราไปบนอากาศ แสดงว่าปืนกลกระบอกนั้นได้หันปากกระบอกปืนตรงมายังทิศทางที่เราหมอบกันอยู่ พร้อมกันก็ได้ยินเสียงเอะอะฟังไม่ได้ศัพท์ตามมา ข้าพเจ้าพยายามเงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นมาจากแห่งใด เป็นการแน่นอนเหลือเกินเสียงปืนนั้นไม่ได้ดังออกมาจากในบ้านท่านอธิบดี เป็นเสียงปืนกลที่ดังอยู่บนถนนสายใหญ่ที่ตรงไปสมุทรปราการ ซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบภายหลังว่ากระสุนปืนที่ลั่นขึ้นนั้น เพราะมีฝรั่งขี้เมาคนหนึ่งขับรถยนต์มาจากสมุทรปราการเพื่อจะกลับพระนคร ด้วยฤทธิ์เมาจึงได้ขับรถเฉียดเข้ากับรถของทหาร อารามตกใจทหารประจำปืนจึงลั่นไกพรึด ๆ เข้าให้ การปฏิบัติงานของทหารประจำปืนครั้งนี้ถึงกับเป็นเหตุให้หัวหน้าของตนลงไปหมอบกระแตอยู่กับพื้นห้องรับแขกนั้น

ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงความหลังได้ว่า เมื่อข้าพเจ้าสำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกใหม่ ๆ หลังจากทำพิธีรับกระบี่แล้วก็ได้เข้าไปรายงานตนต่อ พันเอก พระยาพหล พลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ณ วังปารุสกวัน ท่านได้ชี้ให้พวกเรานายร้อยใหม่มองทะลุหน้าต่างวังปารุสกวันออกไปดูช่อฟ้าแห่งวัดเบญจมบพิธ แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า

“...เราทำงานอะไรจงรอบคอบสุขุม อย่าตื่นตระหนกตกใจง่าย ๆ สิ่งที่มองเห็นนั้นคือ ช่อฟ้าหลังคาโบสถ์วัดเบญจมบพิธได้หักทลายลงเป็นตำหนิอยู่ก็เนื่องมาจากอารามตกใจของทหารประจำปืนที่รักษาการณ์ในการปฏิวัติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ปล่อยกระสุนออกไปโดยไม่มีความหายและไม่มีเหตุผล ทำให้ช่อฟ้าวัดเบญจมบพิธต้องชำรุด แต่เราจะไม่ซ่อมมัน เราจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกเพื่อเตือนใจแก่คนรุ่นหลัง...”

คติของท่านเชษฐบุรุษเตือนใจข้าพเจ้าอยู่ไม่รู้ลืม ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เคยปฏิบัติงานมาแล้วได้พยายามมิให้ความตระหนกตกใจเข้าครอบงำ และบัดนี้ก็ได้ถึงเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนั้นอีก ข้าพเจ้ายังปีติอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ตระหนกตกใจ ขวัญของข้าพเจ้ายังดีอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้ามิได้พรวดพราดและได้ใคร่ครวญ ต่อเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุนั้นอย่างรอบคอบ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้วตามโอวาทของเชษฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของชาติไทยที่ได้ล่วงลับไปแล้ว มิฉะนั้นแล้วเหตุการณ์บางอย่างอาจจะเกิดขึ้น ซึ่งอย่างน้อยเพื่อนทหารของข้าพเจ้าซึ่งเป็นพี่น้องชาวไทยร่วมชาติเดียวกันจะต้องล้มตายหลายสิบคนด้วยน้ำมือของข้าพเจ้าเอง โดยไม่มีผลประโยชน์อันใดบังเกิดแก่มวลราษฎรไทยหรือแก่ประเทศชาติอันเป็นที่รักเลย และมันก็อาจจะเป็นชะนวนให้เหตุการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น และสืบต่อเนื่องกันออกไปจนเป็นเรื่องรามเกียรติ์ก็เป็นได้ เลือดไทยด้วยกันก็จะไหลออกจากหัวใจที่ฉีดโลหิตที่มีอุดมการณ์เช่นเดียวกัน คือความรักชาติบ้านเกิดเมืองนอนของตนลงนองแผ่นดินด้วยการปะทะกันเอง

ซึ่งเนื้อแท้แล้วไม่ใช่เรื่องของผู้น้อย ไม่ใช่เรื่องของมวลราษฎรชาวไทย แต่มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เป็นผู้บังคับบัญชาแห่งตน ได้ขัดแย้งกันเองในเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วก็จูงให้ผู้น้อยต้องพลอยตามให้วิบัติ หาใช่เป็นเรื่องของประเทศชาติอันเป็นส่วนรวมอย่างใดไม่

ข้าพเจ้ายังสงบอยู่ ณ ที่เก่า ทาบอกลงกับทุ่งนา หัวใจที่ฉีดโลหิตนั้นหายระทึกลงไปมากแล้ว เพราะเหตุการณ์ได้ผ่านขั้นรุนแรงเฉพาะหน้าไปแล้ว ยังเหลืออยู่แต่ว่าอนาคตของเรื่องจะเป็นอย่างใด เมื่อเสียงพรึด ๆ อันไม่รู้จักดับของเครื่องยนต์ รถถังคันเก่านั้นได้เงียบไปก็แสดงอยู่ในตัวว่าชาวรัฐประหารนั้นได้คว้าน้ำเหลวกลับไปยังกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นกองบัญชาการนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ย่องกลับเข้าบ้าน นายตำรวจกอง ๒ แห่งสันติบาลทั้งหลายได้เอาอาวุธประจำตัวนั้นส่งคืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมที่จะส่งทอมสันคู่ใจพร้อมด้วยแมกกาซีนถึง ๑๐ อันนั้นกลับคืนด้วย

เมื่อข้าพเจ้าเหลียวไปพบ พ.ต.ต.เชาว์ คล้ายสัมฤทธิ์ ก็ทำให้ข้าพเจ้าฉงนแกมขันน้อย ๆ เมื่อมองเห็นอินทนูบนบ่านั้นได้ลดยศของตนเองลงเหลือ “นายร้อยตำรวจตรี” เท่านั้น ขีดสีเงินบนอินทนูเครื่องแบบทั้งสองบ่าอันเป็นเครื่องหมายของ “นายพัน” ได้ถูกปลดออกเสียแล้ว ข้าพเจ้าเข้าใจดี นั่นเป็นการ “พราง” ชนิดหนึ่งหากว่าจะมีเหตุการณ์ที่ต้องการตัว “พ.ต.ต.เชาว์ คล้ายสัมฤทธิ์” เข้า ก็จะหาไม่พบ ข้าพเจ้าอดที่จะล้อเลียนไม่ได้ว่า

“ไง ผู้กำกับ เป็นนายร้อยตรีไปแล้วหรือ ?”

“อ้าว,แล้วของคุณล่ะเป็นพลตำรวจไปแล้วรึ ?” เสียงย้อนถาม

เราหัวเราะขึ้นพร้อมกัน เพราะมันเป็นการบังเอิญที่ความคิดไปตรงกันเข้า ข้าพเจ้าเหลียวไปดูบรรดานายตำรวจอื่นเกือบ ๓๐ คน ก็ไม่เห็นมีใครมีความคิดที่แผลงไปเช่นของเรานี้ เหมือนกับว่าจะเป็นลางอะไรสักอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าไปกระซิบถามอย่างเบา ๆ ว่า

“ท่านอธิบดีอยู่ที่ไหน ?”

“บางนา” เขาตอบข้าพเจ้าเบา ๆ ที่หูอย่างห้วน ๆ

“นี่...แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ..?”

“ไปพบท่านก่อนดีกว่า”

ข้าพเจ้าพยักหน้าอย่างเห็นชอบด้วย และรู้สึกง่วงนอนเสียเหลือเกินเพราะไม่ได้งีบเลยตลอดคืน แต่ใคร ๆ ก็ไม่ได้งีบเหมือนกันทั้งนั้น กำลังลังเลอยู่ว่าจะพักเอาแรงสักหน่อย ก็รู้สึกว่าท้องฟ้าได้เริ่มสางแล้ว เราก็ได้แต่นั่งคุยกันเงียบ ๆ สองคนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต่างก็ทำตนเป็นหมอดู คาดคะเนเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต พ.ต.ต.เชาว์ ได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า

“เราเจ๊งแน่คุณเฉียบ”

“จะแน่รึ..?” ข้าพเจ้าขัด

“ผมเคยบอกคุณหลายครั้งแล้วก่อนเกิดเหตุเรื่องนี้ จำได้ไหม ?”

ข้าพเจ้าหัวเราะแทนคำตอบ เพราะยังลังเลอยู่ว่าจะไม่เจ๊งเหมือนคำพยากรณ์

นายตำรวจกอง ๒ สันติบาลได้รับคำสั่งให้กลับบ้านได้แล้ว และเข้าทำงานตามปกติเหมือนกับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเมื่อเงียบกันไปสักครู่หนึ่ง พ.ต.ต.เชาว์ก็เริ่มเอ่ยอีกว่า

“คุณกับผมไปหาท่านอธิบดีพร้อมกันเลยเดี๋ยวนี้จะดีไหม นี่ก็สว่างมากแล้ว”

ข้าพเจ้าตอบรับทันที โดยไม่ต้องตรึกตรอง เราไม่ได้ปล่อยเวลาให้โอ้เอ้อยู่อีกเลย บัดนี้แสงเงินแสงทองก็กำลังจับโผล่ขึ้นจับขอบฟ้าแล้ว เราบึ่งไปบางนาโดยไม่ชักช้าเนื่องจากข้าพเจ้าไม่รู้จักลู่ทาง ดังนั้น พ.ต.ต.เชาว์ ซึ่งเคยเป็นทหารเรือเก่าจึงเป็นผู้นำ เขาพาข้าพเจ้าไปที่เรือนไม้ยกพื้นสูงหลังหนึ่ง ก็ได้พบท่านอธิบดีของเราทันที เมื่อเราโผล่ขึ้นบันไดมาตรงหน้าของท่านก็พบคู่สนทนาของท่านคือนายพลเรือตรีร่างเล็กและผอม ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุด ณ สถานที่แห่งนั้น

“เป็นยังไงบ้างครับท่านอธิบดี ?” ข้าพเจ้าร้องถามท่านอย่างห่วงใย

ท่านหันมารับการคารวะจากข้าพเจ้าและผู้กำกับการ แล้วโปรยยิ้มมาให้ข้าพเจ้าอย่างกันเอง

“ผมเดินทางด้วยเท้าจนถึงบางนา กระโผลกกระเผลกมาเรื่อยเพราะมองไม่ค่อยเห็นทาง เดือนมันมืด” พร้อมกันท่านเอามือบีบน่องแสดงว่าเมื่อยและไม่ลืมถามข้าพเจ้าด้วยว่า

“กินอะไรมาแล้วหรือยังล่ะ ?”

ข้าพเจ้ารีบตอบอย่างเร็วว่า “ยังครับ”

เนื่องจากคำตอบของข้าพเจ้าก็ทำให้ข้าพเจ้าและ พ.ต.ต.เชาว์ ได้รับทานอาหารมื้อเช้าคือ กาแฟและขนมปังทาเนย ๒ แผ่น ซึ่งความจริงข้าพเจ้าไม่ค่อยจะอิ่มนักเพราะได้เสียแรงงานเมื่อคืนนี้มากกว่าธรรมดา เมื่อกาแฟเกลี้ยงถ้วยแล้ว ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่านต่อไปว่า.-

“ท่านอธิบดีจะให้ผมทำอะไรต่อไปล่ะครับ ?”

ท่านนั่งนิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็ได้กล่าวขึ้นว่า

“ให้คุณเชาว์ไปสัตหีบไปบอกคุณทหาร (ทหาร ขำหิรัญ)ว่ามันมีเรื่องอย่างที่เกิดขึ้น และให้เขาระมัดระวังตัวไว้ ส่วนคุณเฉียบนั้นให้ไปพบจอมพล บอกเขาว่าเมื่องานชิ้นนี้เป็นของจอมพลแล้ว ผมไม่ขัดข้อง...”

No comments: