Sunday, April 29, 2007

บทความที่ ๑๒๒. บันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันท์ ตอนที่ ๕


จนเช้าวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ข้าพเจ้าก็คงมาทำงานตามปกติ ณ กองตำรวจสันติบาล ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานนั้น มีพลตำรวจคนหนึ่งเข้ามาชิดเท้าต่อหน้าข้าพเจ้าพร้อมกับรายงานว่า

“ท่านรองผู้บังคับการ จำรัส เชิญไปพบที่ห้องท่านหน่อยครับ..”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่ต้องตรึกตรองใด ๆ “ท่านรองผู้บังคับการจำรัส” ที่พลตำรวจได้รายงานข้าพเจ้านั้นคือ พ.ต.ท. จำรัส มัณฑกุกานนท์ รองผู้บังคับการฝ่ายต่างประเทศนั่นเอง ข้าพเจ้าได้เข้าไปในห้องของท่าน พอโผล่บังตาเข้าไปเท่านั้น พ.ต.ท.จำรัส ก็ชี้ให้ข้าพเจ้านั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ในปากคาบกล้องอันใหญ่พ่นควันโขมง อย่างอารมณ์ดี พร้อมกับหัวเราะหึ ๆ แล้วกล่าวว่า

“รู้หรือยังว่า ถูกออกแล้ว..”

ข้าพเจ้างงไม่เข้าใจคำถามจึงย้อนถามว่า

“ออกอะไรครับ...?”

“อ้าว,ไม่รู้ดอกหรือ...ออกจากงานนะซิ! ”

“ไม่รู้ครับ”

“ไปขอดูคำสั่งเสียซิ แล้วเซ็นนามรับทราบเสีย คำสั่งอยู่ที่ผู้บังคับการขุนประสงค์”

ข้าพเจ้างงเสียจริง ๆ เป็นไปได้หรือนี่ ข้าพเจ้ากำลังรุ่งโรจน์อยู่ในกองตำรวจสันติบาล เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพเจ้าก็สามารถคลี่คลายคดีที่ไม่มีตำรวจใดคลี่คลายได้ คือคดี “แนช” รถพระที่นั่งของในหลวงที่หายไปรับขวัญท่านอธิบดีใหม่ของข้าพเจ้า บัญชีเงินเดือนซึ่งเขียนลงไปแล้วว่าข้าพเจ้าจะได้สองขั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตก็กำลังรอลายเซ็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่ ข้าพเจ้าเป็นดาวฤกษ์ที่สุกใสในกองตำรวจสันติบาล ได้ทำการปราบปรามนักการเมืองแห่งระบอบศักดินาจนเลื่องลือ

บัดนี้ข้าพเจ้าจะถูกปลดละหรือ ? ข้าพเจ้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในคำกล่าวของรองผู้บังคับการนั้น ก็ได้แต่รับปากเบา ๆ ว่า “ครับ”

เสียงของรองผู้บังคับการกล่าวขึ้นอีกว่า

“ผมรู้ว่าคุณทำงานดีแต่คุณไม่รู้จักกาละเทศะ..งานการเมืองไม่เหมือนงานอื่น ๆ ...”

สมองของข้าพเจ้าหมุนติ้ว ได้แต่ทวนประโยคที่ว่า “คุณไม่รู้จักกาละเทศะ...งานการเมืองไม่เหมือนงานอื่น ๆ ...” อุบอิบอยู่ในใจ ถูกแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้จักกาละและเทศะ ข้าพเจ้าไม่ได้เหยียบเรือสองแคม ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะทำคนให้เกลือกกลิ้งไปได้ทุกสภาวะกาละและเทศะ เอาตัวรอดไปให้ได้ทุกสมัย

ข้าพเจ้ามิได้เป็นนักฉวยโอกาส ข้าพเจ้าไม่ใช่พวกประจบสอพลอ ดังนั้นข้าพเจ้าจะต้องล้มฟุบลงใน กาละหนึ่ง เมื่อมีเหตุการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงเช่นดังกาละนี้ แน่นอน ข้าพเจ้าจะต้องเป็นเช่นนั้น โลกจะได้ตราหน้าข้าพเจ้าอย่างแน่นอนว่าข้าพเจ้าเป็นอ้ายหน้าโง่ ไม่รู้จักทำตนให้สามารถคงอยู่ได้ทุกสมัย

ข้าพเจ้ามิได้กล่าวแย้งหรือออกความเห็นแต่ประการใด ก่อนที่ข้าพเจ้าจะออกจากห้องรองผู้บังคับการฝ่ายต่างประเทศแต่ก็ได้ยินเสียงเพิ่มเติมมาอีกว่า

“เวลานี้น้ำกำลังเชี่ยว..เอาไว้เหตุการณ์สงบแล้ว ผมจะช่วยคุณให้ได้กลับเข้ามาทำงานอีก..”

ข้าพเจ้านึกขอบพระคุณในน้ำเสียงแห่งความปรารถนาดี ไม่มีเสียงตอบอะไรออกจากลำคอของข้าพเจ้า เวลานี้ข้าพเจ้าต้องการไปพบผู้บังคับการสันติบาลโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ขอดูคำสั่งปลดข้าพเจ้าออกจากราชการโดยไม่มีความผิด และมิได้มีปี่มีขลุ่ยแต่ประการใดนั้นว่าจะเป็นความจริงหรือหาไม่ ?

เมื่อข้าพเจ้าก้าวเข้าไปในห้องรับแขกของ พ.ต.อ.ประสงค์ ลิมอักษรนั้นก็ได้พบตัวท่านผู้บังคับการนั่งจมอยู่ที่เก้าอี้หวายตัวใหญ่นั่นเอง ท่านพยักหน้าต้อนรับข้าพเจ้าอย่างกันเองโดยไม่ได้พูดจาอะไรกันสักคำเดียว ท่านตรงไปที่เสากลางห้องที่ที่แขวนเครื่องแบบแล้วล้วงเอาคำสั่งออกจากกระเป๋าเสื้อคลี่ให้ข้าพเจ้าดูแล้วพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า

“ลงนามรับทราบเสีย เขาปลดคุณแล้ว..”

ผู้บังคับการสันติบาลของข้าพเจ้ากลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่งก่อนที่จะอธิบายต่อไปอีกว่า

“เดิมคำสั่งฉบับนี้เป็นคำสั่ง “ไล่ออก” แต่หลวงชาติฯ ท่านทักท้วงว่า ถ้าไล่ออกก็ไม่ได้บำเหน็จบำนาญ กรณีนี้เป็นเรื่องการเมือง เมื่อจะให้ออกก็ขอให้ได้รับบำเหน็จบำนาญเพราะจะเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ๆ จะเสียน้ำใจไม่เป็นอันทำงาน ทางฝ่ายทหารเขาก็เข้าไปปรึกษาหารือกันใหม่ แล้วก็แก้ไขคำสั่งฉบับเดิมนั้นเป็น “ให้ออก” จึงมีสิทธิได้เบี้ยบำเหน็จบำนาญ ค่อยยังชั่วหน่อยนะ...”

ขาดคำพูด อันเป็นห้วง ๆ ของผู้บังคับการสันติบาลอย่างเห็นอกเห็นใจก็ส่งกระดาษคำสั่งนั้นให้ข้าพเจ้าลงนามรับทราบ และรำพึงออกมาเบา ๆ อีกว่า

“คุณไม่มีความผิดสิ่งใดเขาก็ยังเอาคุณออกได้ ไม่ช้าเขาก็คงปลดผมออกเหมือนกัน”

ข้าพเจ้ากลืนน้ำลายที่แสนฝืดลงไปในลำคอ น้ำตามคลอเบ้าเพราะมีความรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม และได้พบอำนาจอันไม่เป็นธรรม ถูกแล้วอำนาจย่อมก่อให้ได้รับความเป็นธรรม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอำนาจนั้นจะให้ความเป็นธรรมเสมอไป ย่อมสุดแล้วแต่ผู้ทรงอำนาจนั้นจะเป็นผู้ประพฤติธรรมสมบูรณ์เพียงใด มันอาจจะเลยขอบเขตแห่งความเป็นธรรมออกไปไกลได้ เช่นในกรณีของข้าพเจ้านี้ ยุคแห่งกึ่งพุทธกาลกำลังเข้ามาถึงแล้ว ความเป็นธรรมจะเสื่อมศูนย์ไปตามพุทธทำนายแน่ละหรือ ?

ข้าพเจ้าคลี่คำสั่งนั้นออกอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรที่ปรากฏแก่สายตาข้าพเจ้านั้นเลือนสลัวและโตขึ้นด้วยม่านน้ำตาของข้าพเจ้าซึ่งคลออยู่ที่เบ้า มันสร้างความเศร้าให้แก่ข้าพเจ้าอย่างเหลือหลาย

ในคำสั่งนั้นมีข้อความว่า.-

คำสั่งทหารแห่งประเทศไทย กระทรวงกลาโหมเรื่อง ให้นายตำรวจออกจากราชการที่ ๖๙/๙๐ ๑๐ พ.ย. ๙๐

ให้นายตำรวจออกจากราชการดังมีรายนามต่อไปนี้๑.พ.ต.ต.เชาว์ คล้ายสัมฤทธิ์ ผู้กำกับการกอง ๒ กองตำรวจสันติบาล๒.ร.ต.อ.เฉียบ ชัยสงค์ สารวัตรแผนก ๒ กองตำรวจสันติบาล ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป รับคำสั่ง ฯ (ลงนาม) พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ รองผบ. ทหารแห่งประเทศไทย

ข้าพเจ้าทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้หวายตัวใหญ่นั้นในห้องรับแขก ทบทวนดูคำสั่งนั้นครั้งแล้วก็ครั้งเล่า ช่างเป็นการง่ายดายเสียเหลือเกินในการปลดข้าพเจ้าออกจากราชการและสำเร็จลงในชั่วพริบตาเดียว นายทหารกองหนุนลุกขึ้นทำการรัฐประหาร แล้วสั่งปลดนายตำรวจประจำการโดยไม่มีความผิดแต่ประการใด นี่ความเป็นธรรมที่ข้าพเจ้าได้รับ คำสั่งนี้มิได้ผ่าน ก.พ. มิได้ผ่านเจ้ากระทรวง หรือมีคำสั่งของเจ้ากระทรวงออกทับสั่งการมาภายหลังแต่อย่างใด

ดวงตาของข้าพเจ้าพร่าพราวมองเห็นดวงหน้าจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผุดขึ้นในมโนภาพซึ่งข้าพเจ้าได้เข้าพบท่านในห้องประชุมในกระทรวงกลาโหมเมื่อไม่กี่สิบชั่วโมงผ่านไปนี้เอง ข้าพเจ้าได้พบแต่แววตาที่สดใสแห่งมิตรภาพ แต่เหตุไฉนเล่าคำสั่งฉบับนี้จึงผ่านออกมาได้อย่างประหลาด ภาพดวงหน้าของจอมพล เลือนหายไป ภาพใบหน้าของนายวณิชย์ ปานะนนท์ก็ลอยเข้ามาแทนที่ หวลคิดไปถึงความหลังที่เกี่ยวข้องทำนองเดียวกัน

ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเข้าเวรเป็นนายตำรวจที่รับผิดชอบควบคุม นายวณิชย์ ปานะนนท์ รัฐมนตรีผู้ตกอับเอามือล้วงดึงซองบุหรี่นาค ออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งลอดช่องซึ่ลูกกรงมาอวดข้าพเจ้า เมื่อได้พลิกดูแล้วก็ปรากฏว่ามีอักษรจารึกไว้ว่า “เจรจาดีที่โตเกียว” แล้วก็มีลายเซ็นของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่า ซองบุหรี่นาคนั้นเป็นของที่ระลึกจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ในโอกาสที่นายวณิชย์ไปเจรจาการเมือง ณ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นซึ่งเกี่ยวด้วยกรณีอินโดจีนเป็นผลสำเร็จ จึงได้จารึกว่า “เจรจาดีที่โตเกียว” นายวณิชย์ส่ายหน้ากับข้าพเจ้าพร้อมทั้งกล่าวว่า

“ผมได้ซองบุหรี่นี้เป็นที่ระลึกพิเศษทีเดียว แต่ลายเซ็นอันนี้ก็ช่วยอะไรผมไม่ได้ !”

ข้าพเจ้าสงสารเขา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เสียจริง ๆ แม้แต่เขาจะร้องขอให้ข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปที่บ้าน เพื่อขอร้องให้ภรรยาสุดที่รักของเขาตำน้ำพริกสัมมะขามส่งไปให้กินในเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าผู้มีวินัยจัดก็มิได้ผ่อนผันให้เขาเสียเลย และต่อมาไม่นานนักเขาก็จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันจะฟื้นขึ้นมาอีก

บัดนี้ จิตสำนึกใหม่เข้ามาแทนที่แล้วข้าพกลายเป็นคนบาปหนา มีจิตใจเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานที่ไม่ยอมผ่อนผันแม้แต่เรื่องผู้ต้องหาที่ไร้อิสรภาพ จะขอติดต่อกับทางบ้านเพียงยกหูโทรศัพท์เจรจาเรื่องขอกินนำพริกส้มมะขาม

ข้าพเจ้ากลายเป็นบุคคลที่ประกอบทารุณกรรม ไม่มีจิตใจแห่งมนุษยธรรม ทำให้ข้าพเจ้าเสียใจอยู่ไม่หาย ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ แหละบัดนี้ก็ถึงคราวข้าพเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว “เจรจาดีที่โตเกียว” นั้นย่อมแสดงสรรพคุณว่าอยูในขั้นเลิศ แต่แล้วลายเซ็นอันนั้นก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ และในที่สุดก็มรณภาพอยู่ในห้องขังนั้น

ข้าพเจ้าล่ะ, มีอะไรดีไปกว่าอดีตรัฐมนตรีวณิชย์ ปานะนนท์ที่วายชนม์ไปแล้วนั้นหรือ ? เปล่าเลยข้าพเจ้าไม่มีความดีอะไรที่ถึงกับอาจหาญเอาไปเปรียบเทียบกับบุคคลชั้นนั้นได้ ข้าพเจ้าเป็นเพียง “ม้าใช้” ที่วิ่งไปมาเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นแล้ว ที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝันถึงบุคคลคนเดียวกันนี้ว่า ท่านได้ส่งสายตาอันแนบสนิทมายังข้าพเจ้า แววตานั้นเต็มไปด้วยความสนิทสนมเป็นกันเอง แสดงถึงความเมตตาปรานีและอย่างมิตรภาพเป็นกันเอง แสดงถึงความเมตตาปรานีและอย่างมิตรภาพนั้นเล่าจะช่วยอะไรข้าพเจ้าได้บ้างเล่า ?

ข้าพเจ้าว้าเหว่เสียเกินแล้ว เหมือนกันเรือใบที่ปราศจากลูกเรือมีแต่ข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวกำลังแล่นไปสู่ทะเลลึกโดยปราศจากเข็มทิศ ชีวิตของข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไรต่อไปเป็นเรื่องของอนาคต ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มี “นาย” แม้แต่ท่านปรีดี พนมยงค์ก็ไม่นายของข้าพเจ้า เนื้อแท้นั้นคือข้าพเจ้าทำงานมาด้วยลำแข้งของตนเองและบัดนี้ก็ถึงคราวที่จะต้องเผชิญชีวิตต่อไป

ข้าพเจ้าลงนามรับทราบคำสั่งนั้น อย่างดุษณียภาพโดยปราศจากเงื่อนไข ท่านผู้บังคับการสันติบาลส่งมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ท่านเขย่ามือข้าพเจ้าอย่างหนักแน่นและเห็นอกเห็นใจ มือของข้าพเจ้าถูกบีบอย่างแรงก่อนที่เราจะผละออกจากกัน

ข้าพเจ้าออกจากห้องรับแขกบ้านผู้บังคับการซึ่งอยู่ ณ มุมบริเวณกองสันติบาลนั้น ข้าพเจ้ายืดอกขึ้นเพ่งดูตัวตึกสันติบาลอันสง่างามนั้นด้วยความอาลัย ลาก่อนสันติบาล, ข้าพเจ้าจำต้องจากไปแล้วด้วยความรักและอาลัย เลือดเนื้อของข้าพเจ้าเป็นตำรวจทุกหยาดในกรมตำรวจ มีวิญญาณเป็นตำรวจทั้งหลับทั้งตื่น

ข้าพเจ้าได้ผ่านงานมาทั้งภูธร นครบาลและสันติบาล ในที่สุดก็เข้าสู่กองราชการลับแห่งกอง ๒ ซึ่งถือกันว่าเป็น “ยอด” แห่งวงการของตำรวจแล้ว ไม่มีกองใดที่จะมีความสำคัญยิ่งไปกว่านี้ในทางการเมืองภายในประเทศ ความมั่นคงของรัฐบาลอย่อมอยู่ที่กองนี้ เพราะเป็นสายตาสอดส่งให้ทั้งยามหลับและตื่น เมื่อรัฐบาลของนายถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ต้องล้มสลายลงมิใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญเช่นนี้แล้ว ตำรวจกอง ๒ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องพลอยถูกลบสลาตันอย่างที่ข้าพเจ้าถูกมานี้

ข้าพเจ้าหมดภาระแล้วที่จะสาละวนอยู่กับตึกสันติบาล บัดนี้ข้าพเจ้ากลายเป็นบุรุษที่ไร้งาน จะท่องเที่ยวแห่งใดก็รู้สึกว่าสะดวกเพราะไม่มีการผูกพันธ์แล้ว ยิ่งในสภาวะเช่นนี้ข้าพเจ้าก็ใกล้สภาพของนกขมิ้นเหลืองอ่อน เที่ยวเร่ร่อนไปตามยถากรรม ค่ำแล้วจะนอนไหนก็เป็นปัญหาประจำวัน

เสียงจากเพื่อนตำรวจหลายคนก็บอกให้ข้าพเจ้าระวังตนเพราะอาจถูกจับบ้าง อาจจะถูกฆ่าตายบ้าง ข่าวร้ายต่าง ๆ ก็ระบือมาเรื่อย ๆ บ้างก็บอกให้ข้าพเจ้ารีบเดินทางออกไปนอกประเทศเสียชั่วคราว

แต่ข้าพเจ้ายังเห็นว่า เหตุการณ์คงจะยังไม่ร้ายแรงเช่นนั้น เพราะเราไม่ได้ทำการต่อต้านแต่อย่างใด แม้แต่ท่านอธิบดีกรมตำรวจเองก็ยังให้คำสั่งเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงกลับมารีรออยู่ ณ บ้านพักบางกะปิ ถัดจากที่ข้าพเจ้าได้รับทราบคำสั่งปลดแล้วเพียง ๒ วันเท่านั้น ก็ปรากฏว่าบ้านมะลิวัลย์ ซึ่งเป็นที่ทำการของพรรคสหชีพและแนวรัฐธรรมนูญก็ถูกค้น โดยเฉพาะห้องพักของข้าพเจ้านั้นถูกค้นอย่างกระจุยกระจาย และปีนป่ายค้นไปถึงบนเพดาน มุดลงไปจนกระทั่งใต้ถุนด้วย เพราะต้องการจะหาอาวุธว่าซุกซ่อนอยู่แห่งใด นอกจากนั้นทหารผู้ทำการตรวจค้นก็ต้องการตัวข้าพเจ้าอีกด้วยว่า ข้าพเจ้าเป็นตัวสำคัญมีบัญชีว่าเป็น “เสรีไทย” ย่อมต้องมีอาวุธอยู่ในมือที่สามารถจะทำการ “ต่อต้าน” ได้

นี่แหละคือความเข้าใจผิดของชาวรัฐประหารสำคัญผิดไปว่าจะมีการต่อต้านจากฝ่ายตำรวจ ซึ่งความจริงไม่มีเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเล่าที่ข้าพเจ้าจึงต้องไปประจำอยู่ ณ บ้านมะลิวัลย์ด้วยนั้นก็เนื่องข้าพเจ้าและนายตำรวจอีกบางนายต้องสับเปลี่ยนกันเฝ้าเครื่องโทรศัพท์ เพราะเหตุการณ์รัฐประหารจะเกิดขึ้น ผู้ที่ข้าพเจ้าจะต้องแจ้งไปให้ทราบโดยด่วน คือ พ.อ.ทวน วิชัยทัคคะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งพร้อมที่จะดำเนินการยับยั้ง แต่แล้วทุกสิ่งก็ล้มเหลว เพราะกลไกในคณะรัฐประหารเกิดขัดแย้งกันเอง และไม่สามารถสั่งการเพื่อการยับยั้งได้.

No comments: