Friday, April 27, 2007

บทความที่ ๑๑๘. บันทึกของ ร.ต.อ. เฉียบ อัมพุนันท์ ตอนที่ ๑

บันทึกของร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันท์

บทที่ ๑

ข้าพเจ้าครึ่งหลับครึ่งตื่น อยู่บนเก้าอี้หน้าสนามหญ้าในวัง “มังคละสถาน” ของพระวงวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตร ตรงกันข้ามกับปากซอยบ้านดอน ด้วยความรำคาญและเหนื่อยอ่อนแกมง่วงนอน ท้าทอยของข้าพเจ้าพาดลงบนสันพนักเก้าอี้ซึ่งตั้งเรียงราย ในการนั่งชมละครกลางแปลงเรื่อง “อิเหนา” ข้าพเจ้าไม่สนใจในบุษบาหรือตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่ซึ่งเป็นตัวตลกในเรื่องแม้แต่น้อย เพราะข้าพเจ้าทนอยู่ในชุดทรงทรมาน คือชุดของ “นายร้อยตำรวจเอก” ซึ่งมีสายคันชีพ รัดติ้วมาตลอดวัน และบัดนี้ก็เป็นเวลาดึกเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว

ข้าพเจ้าเผยอเปลือกตาซึ่งกำลังปรืออยู่นั้นขึ้นมองดูท้องฟ้าอันมืดสนิท แสงสว่างของเจ้าผีพุ่งใต้ที่พุ่งสวนกันไปมาหลายดวงในระยะต่ำได้แยงเข้าไปในสายตาข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าต้องเบิกตาขึ้นมอง เห็นดวงดาวที่สุกใสประดับอยู่บนท้องฟ้านั้นพลันร่วงผลอย ดวงแล้วดวงเล่าติด ๆกันไม่น้อยกว่า ๒๐ ดวง ไร่เรี่ยกันในเวลาไม่ถึงอึดใจ ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยปรากฏแก่สายตาของข้าพเจ้ามาแต่ก่อน ทำให้ข้าพเจ้ารำพึงอย่างผิว ๆ เพราะฤทธิ์ง่วงว่า คืนนี้ช่างมีสะเก็ดของดวงดาวตกมาอย่างมากมายเสียจริง ๆ...

“เฉียบ !....”

เสียงเรียกชื่อข้าพเจ้าอย่างกระชากและร้อนรนแกมบังคับ ปลุกให้ข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์อย่างผลีผลาม พร้อมกันนั้นเอง ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าแขนข้างขวาของข้าพเจ้าถูกฉุดกระชากให้ลุกขึ้น ข้าพเจ้าหายงัวเงียสติสัมปชัญญะแล่นเข้าแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยอาการตกใจน้อยๆไม่มีอื่น พ.ต.ต.เชาว์ คล้ายสัมฤทธิ์ เป็นผู้กระชากแขนขวาของข้าพเจ้าให้ลุกขึ้น และพูดอย่างรวดเร็วว่า

“เกิดเรื่องแล้ว...ทหารบก...!”

ข้าพเจ้าใจหายวาบ เพราะวลีสั้น ๆ เพียงวลีเดียวทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจทุกสิ่งอย่างแจ่มแจ้ง เพราะเราได้รอเวลา แห่งการปะทุ ด้วยอาการหายใจไม่ทั่วท้องมานานแล้ว และที่สุดมันก็มาถึงเข้าอย่างจริง ๆ แล้ว นั่นคือเหตุการณ์ในคืนวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ จากหางเสียงที่บอกว่า “ทหารบก...” นั้นข้าพเจ้าเข้าใจอย่างอย่างดีที่สุดว่า การรัฐประหารกำลังเริ่มต้นแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะซักถามอะไรให้แน่ชัด พ.ต.ต.เชาว์ คล้ายสัมฤทธิ์ ก็ดึงแขนข้าพเจ้าอย่าถูลู่ถูกังให้เดินตามไปโดยเร็ว ข้าพเจ้ามองออกไปข้างหน้าก็เห็นท่านนายพลเรือ ตรี สังวรณ์ สุวรรณชีพ อธิบดีกรมตำรวจของข้าพเจ้ากำลังเดินนำหน้าพวกเราจะออกประตูวังพระองค์หญิงเฉลิมเขตรอยู่แล้ว ข้าพเจ้าวิ่งเหย่า ๆ ตามท่านไปอย่างตื่นเต้น และรู้สึกว่าอากาศในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ช่างเย็นเหน็บเข้าไปในจิตใจของข้าพเจ้าราวกับว่าเป็นเหมันต์ฤดูไปเสียแล้ว

พ.ต.ต.เชาว์ หันมากระซิบกับข้าพเจ้าว่า

“เมื่อกี้มีคนมารายงาน ท่านอธิบดีว่า พวกทหารบกกำลังแยกย้ายกำลังออกไปหลายสาย สายหนึ่งกำลังตรงมาบางกะปินี้ เวลานี้กำลังผ่านสถานทูตอังกฤษอยู่...”

“แล้วไงล่ะ...?”

“ไปฟังคำสั่งที่บ้านท่านอธิบดี”

ข้าพเจ้าพยักหน้าแทนคำตอบ นายตำรวจสันติบาลกอง ๒ กลุ่มใหญ่เดินอย่างเร็วตามท่านอธิบดีเขาเขาไปอย่างเร่งร้อนระยะไม่เกิน ๕๐๐ เมตรก็ถึงที่หมายปลายทาง จากคำสั่งของท่านทำให้พวกเราทุกคนได้มีอาวุธประจำตัวเพื่อเป็นการป้องกันตัว ข้าพเจ้าเอื้อมมือรั้บปืนกลมือ ทอมสัน อย่างมั่นใจและระทึกว่าในอนาคตอันใกล้นี้คงจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น หากไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้

ท่านอธิบดีของข้าพเจ้ายกหูโทรศัพท์ขึ้น แต่แล้วก็ต้องวางสายเพราะโทรศัพท์ได้ถูกตัดเสียแล้ว ท่านหัวเราะหึ ๆ ยืนบุหรี่ฝรั่งให้ข้าพเจ้าซองหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าก็รับไว้ทั้ง ๆที่ข้าพเจ้าเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ด้วยเกรงว่าท่านจะเขิน ท่านเหลียวตัวกลับไปสู่กลุ่มนายตำรวจแล้วกล่าวอย่างเบา ๆ ว่า-

“สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมได้ออกคำสั่งไว้กับหลวงชาติฯ รองอธิบดีแล้วว่า ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของทหารเขา ตำรวจเราไม่เกี่ยว ไม่ต้องทำการขัดขวางอะไร ให้อยู่เฉย ๆ ...”

ข้าพเจ้าและ พ.ต.ต.เชาว์ คล้ายสัมฤทธิ์ผู้กำกับการกอง ๒ คงอยู่ในอาการปกติเพราะเราต่างได้ทราบเหตุผลมาล่วงหน้าก่อนแล้ว ทุกอย่างเต็มอยู่ในอกของเรา แต่นายตำรวจอื่นทำท่าทางหลากใจบาง แต่ก็ไม่มีใครซักถามอะไรอีก ต่างก็นั่งบ้างยืนบ้างตามถนัด ส่วนใหญ่ของเรายังมั่นคง และฟังคำสั่งจากท่านอธิบดีอย่างแน่วแน่ สารวัตรทหารทำการรักษาการณ์บ้านพักของท่านอย่างเข้มงวดกวดขัน เพราะท่านอธิบดีกรมตำรวจมีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมสารวัตรด้วย เหตุการณ์ภายในบ้านของท่านสับสนเนื่องจากมีคนเข้าออกเป็นอันมาก ข่าวที่ได้รับแน่นอนที่สุดก็คือว่าทหารบกกำลังเคลื่อนที่ข้ามทางรถไฟมาแล้ว ตรงมาบางกะปิพร้อมด้วยรถถัง พวกเราทุกคนรออยู่เพื่อเผชิญหน้ากับวิกฤติกาลที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว ปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็คือว่า จะถึงกันนองเลือดกันหรือไม่ ?

ข้าพเจ้าหันกลับไปปรารภกับผู้กำกับการกอง ๒

“ผมเห็นว่าทหารบกมาที่นี่ก็คงมีความมุ่งหมายมาเอาตัวท่านอธิบดีเป็นประกันเท่านั้น--”

พ.ต.ต.เชาว์ พยักหน้าแทนคำตอบ แสดงว่ามีความเห็นพ้องด้วยในความเห็นของข้าพเจ้า เราจึงได้หันหน้าเข้าปรึกษากันว่าเป็นการไม่เหมาะสมที่จะให้ท่านอธิบดีคงอยู่ ณ บ้านพัก เพราะจะต้องถูกจับหรือถูกเชิญต้วไป ดังนั้นเราทั้งสองจึงก้าวเข้าไปชิดท่าน พ.ต.ต.เชาว์ได้เรียนกับท่านว่า

“ขอให้ท่านอธิบดีออกไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า เพราะทหารบกที่กำลังเคลื่อนมานั้นจะไปที่อื่นเป็นไปไม่ได้ จะต้องตรงมาที่นี่อย่างแน่นอน และต้องมาเอาตัวท่านอธิบดีไปเป็นประกัน ผมอยากให้ท่านอธิบดีหลบไปเสียก่อน เพราะเหตุการณ์ยังสับสนอยู่ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร- ”

“ผมจะอยู่มันที่นี่ - -” ท่านกล่าวตัดบทอย่างเฉียบขาด

ข้าพเจ้าใจเสียเมื่อฟังคำสั่งของท่าน เพราะการแสดงเหตุผลของ พ.ต.ต.เชาว์นั้นถูกต้องตรงกับความรู้สึกของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเข้าไปสนับสนุนเหตุผลของผู้กำกับการกอง ๒

“ผมเห็นว่าท่านอธิบดีอยู่ที่นี่ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด มีแต่จะเสียประโยชน์อย่างเดียว ขอให้ท่านอธิบดีปลีกตัวหลบออกไปเสียก่อน ฟังดูเหตุการณ์ให้ชัดเสียก่อนจะเป็นประโยชน์มากกว่า - -”

ท่านส่ายหน้าแทนคำตอบ ข้าพเจ้าเข้าใจจิตใจของท่านดีว่าท่านเป็นเลือดนักสู้ที่บึกบึน เมื่อนายตำรวจอยู่กับท่านอย่างพร้อมหน้าเกือบ ๓๐ คนเช่นนี้ แล้วท่านจะจากไปก็จะเป็นการไม่เหมาะสม เราหลายคนได้พากันอ้อนวอนให้ท่านไปเสียจากบ้านชั่วคราว เพื่อดูอาการของเหตุการณ์ก่อนเท่านั้น จากการอ้อนวอนซึ่งเป็นเสียงข้างมากเช่นนี้จึงได้ทำให้ท่านได้เปลี่ยนความตั้งใจ ในที่สุดท่านอธิบดีของเราก็ได้จากเราไปทางด้านหลังบ้านทะลุออกทุ่งนา ไปในทิศทางซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านไปแห่งใด

ข้าพเจ้าถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เสียงสารวัตรทหารที่รักษาการณ์หน้าบ้านซึ่งกำลังปีนกำแพงตรวจการณ์อยู่นั้นรายงานว่า

“ทหารบกกำลังเคลื่อนที่เข้ามาตามถนนโดยใช้เสาไฟฟ้าเป็นที่กำบัง เข้ามาเป็นระยะ ๆ ห่างประมาณ ๑๐๐ เมตร...”

ข้าพเจ้าแหงนดูตัวตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่อันงามสง่า หากมีการต่อสู้กันขึ้น ตึกหลังนี้จะต้องเป็นผุยผงแล้วจะเกิดประโยชน์อันใดเล่า โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ในบริเวณบ้านหลังนี้ภายในกำแพงย่อมอยู่ในสภาพที่ถูกล้อมได้โดยง่าย และในที่สุดแห่งการต่อสู้ก็จะกลายเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ ข้าพเจ้าตรงไปที่สารวัตรทหารกลุ่มหนึ่งที่เป็นพลประจำปืนกลเบา แมดเสน กระซิบกับเขาเบา ๆ ว่า –

“เราควรแบ่งกำลังออกไปรักษาการณ์นอกบ้านบ้างดีกว่า เพราะถ้าเราอยู่กันในบริเวณบ้านนี้ทั้งหมด ก็อาจถูกล้อมโดยไม่มีกำลังกระหนาบข้างหลังเลย...”

เขาเหลียวดูกันเองอย่างลังเลใจเพราะมีแต่ชั้นผู้บังคับหมู่เท่านั้นเป็นผู้บังคับบัญชา ข้าพเจ้าเข้าใจจิตใจของเขาเป็นอย่างดี จึงได้กระทุ้งในสรรพคุณของข้าพเจ้าเข้าให้อีกว่า

ไม่เป็นไรน่า...อั๊วสำเร็จออกมาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก, เรื่องอย่างนี้เข้าใจดี...”

สารวัตรทหารบกกลุ่มนั้นยิ้มแทนคำตอบ และดูอาการเขามีความมั่นใจในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ปล่อยให้เวลาต้องผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ ได้ออกคำสั่งให้เขาทั้งสามนั้นติดตมาข้าพเจ้าออกนอกบ้าน เขาชำนาญภูมิประเทศเป็นอย่างดี เพราะได้เคยมารักษาการณ์ในบริเวณนี้เป็นอาจิณ ข้าพเจ้าพาเขาเลี้ยวออกไปทุ่งนาหลังบ้าน ณ ที่นั้นเป็นหัวมุมของซอยสุภางค์ ซึ่งหักเลี้ยวเป็นข้อศอกมองเห็นประตูบ้านของท่านอธิบดีแต่เพียงสลัว ๆ เพราะเดือนมืดมาก เราได้นำปืนกลเบาเข้าที่ตั้งยิง ณ ที่นั้นด้านหลังของเราเป็นทุ่งนากว้าง ดังนั้นเราจึงไม่กลัวว่าจะถูกตีโอบในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ เพราะมีทิศทางในการเคลื่อนที่ได้มากมาย

ข้าพเจ้าปลดดาวสีเงินหกดวงออกจากอินธนูบนบ่าของเครื่องแบบ เพราะเกรงว่ามันจะเป็นบ่อเกิดแห่งการสะท้อนของแสง ส่วนหมวกของข้าพเจ้านั้นเล่าก็หมุนไปให้เครื่องหมาย “พิทักษ์สันติราษฎร์” ไพล่ไปอยู่เสียข้างหลัง ภายในอกของข้าพเจ้าเต้นระทึกว่า อีกไม่นานนักคงจะได้มีการยิงต่อสู้กัน ข้าพเจ้าได้ตรวจดูกระสุนโดยละเอียด เรามีกระสุนตามอัตราศึก โดยเฉพาะปืนทอมสันของข้าพเจ้านั้นมีแม็กกาซีนอยู่ถึง ๑๐ อันหนักแปร้ทีเดียว เราจะไม่ยอมเสียกระสุนโดยไม่จำเป็น เพราะเราไม่มีคลังแสงที่จะเบิกเพิ่มเติ่มได้อย่างทหารในแนวรบ นี้เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าซึ่งเราไม่ได้เตรียมไว้เพื่อการต่อต้านการรัฐประหารอย่างใดมาแต่ต้น แต่เราทำเช่นนี้เพียงแต่เป็นการป้องกันตัวเท่านั้น

ข้าพเจ้าหมอบลงที่ทุ่งนาฟังเสียงดูว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ก็ไม่มีอะไร ทหารบกได้เคลื่อนที่มาถึง รถถึงก็มาด้วย เสียงเครื่องยนต์ของรถถังดังพรืด ๆ ลั่นถนนอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่าพลขับไม่กล้าดับเครื่องยนต์นั้นเพราะเกรงว่าจะสตาร์ทไม่ติด จึงได้เดินเครื่องตลอดเวลาอันยาวนาน เสียงตะโกนสั่งการของนายทหารที่ควบคุมนั้นดังลั่นถนนเหมือนกับจะเอาเสียงนั้นเป็นเพื่อนด้วย บนตัวตึกบ้านอธิบดีนั้นดับไฟหมดทุกดวงทำให้มืดสนิท เสียงตะโกนให้เปิดไฟและเสียงตะโกนให้เปิดประตูรับดังเอะอะจากทหารฝ่ายรัฐประหาร แต่ทุกสิ่งก็เงียบเชียบจากภายในบ้านนั้น ข้าพเจ้ามั่นใจว่ากำลังภายในบ้านนั้นได้เตรียมพร้อมเพื่อรับเหตุการณ์หากมีการรังแกกัน และนั่นก็ย่อมหมายถึงเหตุการณ์อันรุนแรงที่นองเลือดจะเกิดขึ้น

No comments: