Friday, February 9, 2007

บทความที่ ๒๓. ช่วงหนึ่งแห่งชีวิตท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (จบ)

ช่ ง ห นึ่ ง แ ห่ ง ชี วิ ต ท่ า น ผู้ ห ญิ ง พู นศุ ข พ น ม ย ง ค์
สารคดี : อาจารย์ปรีดีเคยเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ต่างประเทศ หลังจากที่พระองค์ ทรงสละราชสมบัติบ้างไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : เคย ตอนนั้นปี ๒๔๗๘ ไปเข้าเฝ้าที่อังกฤษ นายปรีดีเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยไปเจรจากับผู้นำอังกฤษที่กรุงลอนดอน เพื่อขอแปลงดอกเบี้ยเงินกู้สมัยรัชกาลที่ ๖ ที่กู้จากธนาคารอังกฤษจากเดิมร้อยละ ๖ ให้เหลือร้อยละ ๔


สารคดี : ตอนที่พระองค์ประทับที่ประเทศอังกฤษ ทรงเคยมีพระราชดำริว่า อยากจะกลับมาประทับเมืองไทยอีกหรือไม่

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ได้ยินว่าท่านมีพระราชหัตถเลขาถึงหลวงพิบูลฯ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะเกิด ว่าอยากจะนิวัตกลับสู่เมืองไทย จะมาประทับแถวจังหวัดตรัง แต่เกิดสงครามโลกเสียก่อนและไม่นานก็สวรรคต

สารคดี : ตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาจารย์ปรีดีและท่านผู้หญิงพำนักอยู่ที่ไหนครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ตอนแรกอยู่ที่ทำเนียบท่าช้าง ซึ่งรัฐบาลให้เป็นบ้านพักรับรองของนายปรีดี ผู้สำเร็จราชการฯ ตอนนั้น แต่เราไม่ได้ขุดหลุมหลบภัย ท่าช้างนี่ชั้นล่างอยู่ติดพื้นดิน แล้วก็ชั้นสอง ชั้นสาม ก็เอากระสอบทรายมากองสูงท่วมหัวที่ชั้นล่าง ทำเนียบท่าช้างอยู่ใกล้ ๆ จุดยุทธศาสตร์ เยื้องสถานีรถไฟบางกอกน้อย เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรบินมาทิ้งระเบิดบ่อยมาก เวลานั้นลูก ๆ ก็ยังเล็ก เวลาเครื่องบินมาก็อุ้มลูกจากที่นอนมาหลบที่หลังเนินกระสอบ ก็เลยอพยพไปอยู่อยุธยาสักพักหนึ่ง พอการทิ้งระเบิดค่อยเพลาลงไป ก็กลับมาอยู่กรุงเทพฯ จ้างครูมาสอนลูกเรียนหนังสือ ปรากฏว่าพอถึงปี ๒๔๘๘ ปลายสงคราม เครื่องบินมาทิ้งระเบิดหนักขึ้นอีก ทั้งตอนกลางคืนและกลางวัน ตึกรามบ้านช่องพังจำนวนมาก ต้องวิ่งหนีกัน เด็กเล็กลูกคนอื่นมาเรียนกับลูกเราด้วยก็ไม่ปลอดภัย นายปรีดีก็ทูลเชิญสมเด็จพระพันวัสสาฯ ไปประทับที่พระราชวังบางปะอินเพื่อความปลอดภัย และเราก็อพยพตามไปถวายการรับใช้ด้วย นายปรีดีได้ติดต่อกับสัมพันธมิตร บอกให้ทราบว่าบางปะอินเป็นที่ประทับของเจ้านาย อย่ามาทิ้งระเบิด ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ แต่บริเวณทำเนียบท่าช้างยังทิ้งระเบิดกัน นายปรีดียังอยู่ประจำที่นั่น ทิ้งระเบิดริมน้ำ เขื่อนพังทลาย แต่ตัวอาคารใหญ่ไม่เป็นอะไร พอหวอมา ชาวบ้านแถวนั้นเข้ามาหลบในบ้านเต็มไปหมด เพราะว่ามีค่ายเชลยอยู่ที่ธรรมศาสตร์ คิดว่าเครื่องบินคงไม่มาทิ้งระเบิดเชลยศึกซึ่งเป็นพวกเดียวกัน

สารคดี : ตอนที่เป็นเสรีไทยท่านผู้หญิงทำหน้าที่อะไรครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ช่วงนั้นหน้าสิ่วหน้าขวานมากที่สุดเชียว ทำเนียบท่าช้างเป็นที่บัญชาการของเสรีไทยที่มีนายปรีดีเป็นหัวหน้า พออยู่มาวันหนึ่ง นายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็มาเซ็นชื่อเยี่ยมที่ทำเนียบของนายปรีดี ผู้สำเร็จราชการฯ แล้วก็เดินเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่พวกเสรีไทยใช้เป็นที่ทำงาน โตโจคงอยากเห็นส่วนที่เราอยู่หมด น่ากลัวเหมือนกัน แต่โชคดีที่พวกญี่ปุ่นคงไม่ระแคะระคาย ส่วนฉันตอนนั้นก็ช่วยทำทุกอย่าง ช่วยนายปรีดีฟังข่าวติดตามสถานการณ์ต่างประเทศจากวิทยุ อันที่จริงตอนนั้นทางการห้ามฟังวิทยุสัมพันธมิตร ต้องมีใบอนุญาตถึงฟังได้

สารคดี : ท่านผู้หญิงต้องช่วยถอดรหัสหรือเขียนโค้ดด้วยใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ไม่ได้ถอดรหัส แต่ใช้วิธีเขียนเป็นตัวหนังสือ คือฉันเขียนตัวบรรจง จึงช่วยเขียนรหัสด้วยลายมือ เป็นภาษาอังกฤษแบบตัวพิมพ์ใหญ่ก่อน ที่จะนำไปเข้าเป็นโค้ดลับเพื่อเป็นการพรางหลักฐาน เพราะหากถูกจับได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นลายมือใคร และตอนนั้นใช้พิมพ์ดีดไม่ได้ หากพวกญี่ปุ่นเขาจับได้ สมัยนั้นมันตรวจกันรู้นี่ว่าเป็นพิมพ์ดีดจากไหน บางครั้งก็เขียนคำสั่งของนายปรีดีที่จะส่งไปต่างประเทศ ส่วนฝ่ายถอดรหัสนั่นมีพวกเสรีไทยสายอังกฤษหรือสายอเมริกาเป็นคนจัดการ

สารคดี : นิสัยส่วนตัวของอาจารย์ปรีดีเป็นอย่างไรครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : รู้สึกใจร้อนนิดนึง แต่ไม่ถึงกับหุนหันพลันแล่นหรอก แต่ว่าทำอะไรก็อยากจะเห็นผลเร็ว เป็นอย่างนี้ แล้วก็เชื่อคนง่าย บางทีเราต้องช่วยดูให้ นายปรีดีดูคนไม่ค่อยเป็น นึกว่าเหมือนตัวเองหมด

สารคดี : หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาจารย์ปรีดีเป็นคนไม่ยอมส่งจอมพล ป. กับพวกไปให้ศาลอาชญากรสงครามที่โตเกียวตัดสินใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ได้ตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นในประเทศไทย พิจารณาตัดสินคนไทยด้วยกันเอง ถ้าส่งไปเมืองนอกก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นโดนจับหลายคน หลวงวิจิตรฯ เอย ใครต่อใครเอย เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ฆ่ากันไม่ลงหรอก

สารคดี : ขอความกรุณาท่านผู้หญิงช่วยเล่าเรื่องเหตุการณ์วันที่เกิดรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐

ท่านผู้หญิงพูนศุข : วันนั้นฉันไม่สบายไปถอนฟัน ก็ไม่ได้รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน วันนั้นหลวงอดุลฯ (พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบก) หลวงธำรงฯ (หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี) มารับประทานอาหารเย็น ฉันก็เข้านอนก่อนเพราะเป็นไข้ ต่อมาประมาณสองยามฉันก็สังเกตมีแสงไฟสาดเข้ามาในห้องนอน ทีหลังถึงรู้ว่าเป็นไฟจากรถถังที่จอดอยู่หน้าธรรมศาสตร์ แสงไฟจ้าเชียว แปลกใจ ก็ลุกขึ้นมา ลมพัดหนังสือพิมพ์กระจาย ไม่ใช่พัดลมน่ะ เป็นลมจากแม่น้ำ แล้วฉันก็ลงไปชั้นล่าง พบเด็กที่อยู่กับเรา ยืนอยู่กับตำรวจที่เป็นยามประจำบ้าน ตอนนั้นยังไม่ได้ยิง ฉันก็ถามว่าท่านอยู่ไหน เด็กบอกว่าท่านไปแล้ว สักครู่หนึ่งทหารก็ยิงเข้ามา เราก็เลยวิ่งมารวมอยู่ห้องนอนลูกริมแม่น้ำ

สารคดี : ทหารยิงเข้ามาในบ้านเลยหรือครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ยิงเข้ามาในบ้าน เจาะเข้ามาในห้องพระ รูขนาดนกกระจอกทำรังได้ แต่ไม่ทะลุ เราก็รวบรวมลูกมาอยู่ที่ห้องเดียวกัน แล้วก็บอกให้ลูกนอนหมอบราบไปบนเตียงนะ ฉันก็ตะโกนออกไปว่า อย่ายิง อย่ายิง มีแต่เด็กกับผู้หญิง เขายิงรัว แหม รู้สึกว่าหลายสิบนัดนะ เสียงมันอาจจะสะท้อนด้วย ฉันยังมีใจเป็นธรรมนะ คิดว่าไม่ได้ยิงกราด ผลสุดท้ายเขาก็พังประตูเข้ามา ฉันก็ลงไปพบ มีคณะนายทหารที่เราไม่รู้จัก เขาบอกว่าจะมาเปลี่ยนรัฐบาล ฉันก็ว่าทำไมมาเปลี่ยนที่นี่ ทำไมไม่ไปเปลี่ยนที่สภาล่ะ คณะทหารค้นทั่วบ้าน ไม่มีตัวนายปรีดีแล้วนะ ท่านลงเรือรับจ้างที่อยู่ข้าง ๆ ท่าช้างวังหน้าหลบหนีไปแล้ว


สารคดี : ตอนนั้นหลวงอดุลฯ ซึ่งอยู่ในฐานะ ผบ. ทบ. อยู่ที่ไหน

ท่านผู้หญิงพูนศุข : สักตีสี่ หลวงอดุลฯ มาหาฉัน บอกว่าผมไล่พวกกบฏไปหมดแล้ว ให้ไปอยู่ที่ป้อมพระสุเมรุ ตอนนั้นยังเป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่นี่ ท่านก็ออกชื่อผู้ที่มายิงบ้านเรา พอเช้ามีบรรณาธิการ บางกอกโพสต์ มาสัมภาษณ์และได้นำประโยคที่ฉันถามพวกทหารตอนที่เข้ามาค้นไปลงหน้าหนึ่ง เสร็จแล้วตอนสาย ๆ ร.อ. สมบูรณ์ (พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ) เอารถถังมา เพื่อนสนิทของฉัน คุณฉลบชลัยย์ (ภรรยาคุณจำกัด พลางกูร) วิ่งออกไปยืนขวางเบรกรถถังไว้ ห้ามไม่ให้เข้ามาใกล้บ้าน สุดท้ายทหารก็ลงจากรถถังเดินเข้ามาค้นในบ้าน ไม่มีอะไร เราไม่ได้เป็นฝ่ายก่อการกบฏ พวกเขาเป็นผู้มาทำลายเรา แล้วยังมาค้น

สารคดี : ตอนนั้นอาจารย์ปรีดีไม่ได้ดำรงตำแหน่งใด ๆ แล้ว

ท่านผู้หญิงพูนศุข : เป็นเพียงรัฐบุรุษอาวุโส ตอนที่หนีไปต่างประเทศก็ไม่มีเงินติดตัว ต้องยืมจากกัปตันเรือน้ำมันที่โดยสารไปสิงคโปร์

สารคดี : แล้วหลวงอดุลฯ ที่ว่าไล่ไปหมดแล้ว

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ก็ไม่จริงน่ะ พวกกบฏก็กลับมายึดอำนาจได้อีก หลวงอดุลฯ แกก็ลาออก ตอนหลังฉันมาอยู่บ้านป้อมเพชร์ มาอยู่กับคุณแม่ หลวงอดุลฯ มาเยี่ยมเกือบทุกคืนเลย

สารคดี : หลังจากที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ท่านผู้หญิงก็ออกนอกประเทศไปเลยหรือเปล่าครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ยังไม่ได้ไปทันที ฉันไปอยู่เมืองนอกปี ๒๔๙๕ พอปี ๒๕๐๐ ได้กลับมาชั่วคราวเพราะมารดาป่วยหนักมาก เสี่ยงเข้ามา ลูกก็ติดคุกอยู่นะ ก็เข้ามาเผาคุณแม่เสร็จ อยู่ประมาณปีครึ่ง พอปี ๒๕๐๑ ก็ออกไป กลับมาอีกทีปี ๒๕๑๘ ได้มาก็เพราะเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา

สารคดี : หลังจากอาจารย์ปรีดีลี้ภัยไปอยู่เมืองจีน บรรดาปัญญาชนจำนวนมาก ในเมืองไทยร่วมกันจัดตั้ง คณะกรรมการสันติภาพสากล แห่งประเทศไทย เพื่อต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู แต่ก็ถูกรัฐบาลทหารกวาดล้าง เพราะกลัวฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ คุณปาล ลูกชายคนโต ก็ถูกรัฐบาลทหารจับไปเมื่อปี ๒๔๙๕ ใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ตอนนั้นลูกปาลถูกเกณฑ์ทหารและอยู่ระหว่างลาป่วย ตำรวจก็มาจับตัวถึงในบ้าน ฉันพยายามทำใจเข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้า พอพวกนั้นกลับไปฉันวิ่งขึ้นไปร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ ลูกปาลถูกข้อหากบฏสันติภาพ ถูกตัดสินจำคุก ๒๐ ปี แล้วลดลงมาเหลือ ๑๓ ปี กับ ๔ เดือน แต่ขังอยู่ ๔ ปี พอปี ๒๕๐๐ ก็มีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา

สารคดี : ท่านผู้หญิงก็ติดคุกด้วยใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : หลังจากตำรวจเอาลูกฉันไป สองวันต่อมา ฉันเป็นเถ้าแก่หมั้นคุณศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์) ตำรวจก็มาจับในงานไปสอบสวนที่สันติบาล ตอนนั้นลูกสาวสองคนยังเล็กอยู่ เลยต้องเอามานอนที่สันติบาลด้วยสองคืน ตำรวจที่สอบสวนฉันคือพระพินิจชนคดี พี่เขยของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ถามว่า รู้จักพลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ ผู้บัญชาการนาวิกโยธิน ที่ตอนนั้นทางการกำลังล่าตัวอยู่ไหม คือภายหลังการทำรัฐประหารจนทำให้นายปรีดีต้องออกนอกประเทศไปนั้น สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่น่าวางใจ ยังมีการติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้อง หากจับสามีไม่ได้ก็มาจับภรรยาไปแทน ฉันจึงไปอาศัยบ้านพักคุณทหารอยู่ที่สัตหีบชั่วคราว คุณทหารต้อนรับฉันกับลูก ๆ อย่างดี เราอยู่ที่สัตหีบเกือบสามเดือน คุณทหารเป็นผู้ก่อการ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มีบุญคุณกับครอบครัวเรามาก ตอนหลังคณะรัฐประหารจะจับคุณทหาร แต่จับไม่ได้ คุณทหารหลบไปที่เมืองปราณฯ หรืออยู่ที่ไหนสักแห่งไม่แน่ชัด

ที่นี้มีคนมาติดต่อ บอกว่าคุณทหารเข้าป่า ฉันก็ฝากข้าวของไปให้ เขียนโน้ตใส่เศษกระดาษฝากคนไป บอกว่าถ้ามีหนทางอะไรก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ พอคุณทหารถูกจับได้ ก็พบเศษกระดาษที่มีลายมือของฉัน ดังนั้นเมื่อตำรวจถาม ฉันก็ไม่ปฏิเสธ เขาถามว่านี่ใช่มั้ยลายมือฉันไหม ฉันก็รับว่าใช่ ฉันเขียนจริง ๆ ข้อหาฉันมีข้อนี้เท่านั้นเท่าที่ดูในสำนวนฟ้อง นอกนั้นถามว่านายปรีดีอยู่ที่ไหน ฉันไม่ทราบทั้งนั้น ตอบไม่ได้ ฉันไม่ได้คิดกบฏกับใคร ลูกก็ไม่เกี่ยว ไม่พัวพันกันเลย แต่เขาก็จับฉันไปทำลายจิตใจ ทำลายทุกอย่างหมด อิสรภาพเรื่องเล็ก จิตใจนี่เรื่องใหญ่ ถูกขังติดลูกกรงเหล็กอยู่ ถ้าเผื่อไฟไหม้เราก็ตายในนั้น และฉันเป็นคนที่กินกาแฟยาก พอคนในบ้านเอากาแฟที่บ้านชงใส่กระติกมาให้ ก็ยังเอาเข้าไม่ได้

ติดคุกได้ ๑๒ วัน ตำรวจก็พาไปศาล ผู้ต้องหาหญิงคนเดียว ไม่รู้ใช้กำลังเท่าไหร่ ไปศาลแล้วพวกหนังสือพิมพ์ก็จะมาถ่ายรูป ตำรวจพยายามจะเอาฉันหลบกล้อง พอถึงศาลแล้วก็เห็นพวกผู้ต้องหาคนอื่น ๆ นั่งเป็นแถว แต่ของฉันไปนั่งเฉพาะ มีตำรวจคุม แหม ทุเรศจริง ๆ เชียว ทำกับฉันขนาดนี้


สารคดี : กลัวไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ตอนนั้นไม่กลัวเลยนะ หลังจากติดคุกได้ ๘๔ วัน อัยการยกฟ้องฉัน ตอนนั้นมีตำรวจคนหนึ่งเป็นสารวัตร ขณะนี้ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แหม ดีกับฉันเหลือเกิน เวลานั้นท่านเป็นนายพันตำรวจตรี ก็คุมฉันบ้างบางเวลา ท่านก็อุตส่าห์วิ่งไปหาเพื่อนที่เป็นอัยการ ไปสืบดูว่าฉันจะถูกฟ้องหรือเปล่า อุตส่าห์ไปเหน็ดเหนื่อยกันดึกดื่น ผลสุดท้ายฉันไม่ถูกฟ้อง แต่ลูกปาลถูกฟ้อง พอศาลตัดสินแล้วจะเอาลูกขึ้นรถไปเรือนจำลหุโทษ ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก ฉันก็ขึ้นรถไปด้วย นายตำรวจคนหนึ่งก็พูดขู่ว่า นี่จะเอาไปคุกแล้วนะวันนี้ ฉันก็บอกว่าคุณไม่รู้ประวัติของฉันดี คุณนึกว่าฉันกลัวคุกเหรอ คุณปู่ของฉัน คือหลวงวิเศษสาลีเป็นแม่กองสร้างคุกแห่งนี้ และคุณพ่อของฉัน พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา เป็นอธิบดีราชทัณฑ์คนแรก และคนสุดท้าย สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วฉันจะกลัวคุกได้อย่างไร

สารคดี : หลังออกจากคุก ท่านผู้หญิงย้ายมาอยู่ฝรั่งเศส แล้วค่อยหาทางไปหาอาจารย์ปรีดี ที่ปักกิ่งใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ตอนติดคุก ฉันสะเทือนใจมาก เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมา มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จึงเห็นว่าไม่สมควรอยู่เมืองไทย พอปี ๒๔๙๖ ก็เดินทางไปอยู่ฝรั่งเศสกับลูกสองคนคือดุษฎีและวาณีที่ยังเล็กอยู่ จากนั้นพยายามติดต่อนายปรีดีจนสำเร็จ จึงเดินทางไปอยู่เมืองจีนพร้อมกัน จนกระทั่งปี ๒๕๑๐ จึงกลับมาฝรั่งเศสกับลูก สาเหตุที่มาก่อนเพราะมาหาทางพานายปรีดีออกจากเมืองจีนไปอยู่ฝรั่งเศส เราก็มีเพื่อนฝูงเก่า ๆ พอปี ๒๕๑๓ ก็พานายปรีดีมาอยู่ฝรั่งเศส

สารคดี : ทำไมหลังรัฐประหารปี ๒๔๙๐ อาจารย์ปรีดีเลือกไปอยู่เมืองจีน

ท่านผู้หญิงพูนศุข : แล้วจะไปที่ไหนล่ะ เมืองจีนไม่มีสัมพันธ์กับไทยนี่ ก็ไปเมืองจีน ตอนนั้นยังไม่เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นยุคสมัยของเจียงไคเช็คยังมีอำนาจ อันที่จริงนายปรีดีต้องการลี้ภัยที่ประเทศเม็กซิโก แต่รองกงสุลอเมริกันที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นพวกซีไอเอ ขีดฆ่าวีซ่าผ่านแดนอเมริกา ทำให้นายปรีดีไม่สามารถไปเม็กซิโกได้ รองกงสุลอเมริกันคนนี้คือนายนอร์แมน ฮันนา ต่อมาเป็นทูตประจำประเทศไทย

หลังจากนายปรีดีประสบความล้มเหลวในการก่อการขบวนการประชาธิปไตย ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ นายปรีดีต้องลี้ภัยไปต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง โดยตัดสินใจไปประเทศจีน ขณะนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ปกครองเกือบทั่วประเทศจีนแล้ว


สารคดี : ช่วงที่อยู่เมืองจีนกิจวัตรประจำวันของอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ก็อ่านหนังสือ ฟังวิทยุสถานีบีบีซีบ้าง ออสเตรเลียบ้าง วีโอเอบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง รับฟังข่าวสารจากเมืองไทย ไม่ได้ทำงานอะไร ทำงานส่วนตัว คืองานบ้าน แต่ทางการจีนจัดคนมาดูแล อำนวยความสะดวก มีปัจจัยสี่ให้เราตลอด

สารคดี : รัฐบาลจีนตอนนั้นให้ความช่วยเหลือมากใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ฉันไม่ลืมบุญคุณรัฐบาลจีนและราษฎรจีน ฉันเป็นคนไม่ลืมบุญคุณคน ตอนที่ทางจีนเกิดอุทกภัยเมื่อหลายปีมาแล้ว ฉันก็ส่งเงินตามมีตามเกิดไปช่วยเหลือ เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ส่งไปอีก ตอนเราออกจากเมืองจีนก็ไม่มีบาดหมางอะไรกันนะ เราออกมาด้วยดี

สารคดี : ใครในรัฐบาลจีนที่เป็นคนจัดการช่วยเหลืออาจารย์ปรีดี

ท่านผู้หญิงพูนศุข : นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล แต่ก็คงต้องช่วยกันหลายคน

สารคดี : อาจารย์ปรีดีรู้จักโจวเอินไหลมาก่อนหรือครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ได้ยินชื่อมาก่อน

สารคดี : ไปเมืองจีนครั้งแรกอาศัยอยู่ที่เมืองไหนครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ปักกิ่ง ตอนหลังทนอากาศหนาวจัดไม่ไหว หนาวมากขนาดลบ ๑๕ องศา หนาวนี่กินแต่ผักกาดขาว ซื้อกันทีละเยอะ ๆ แล้วขุดหลุมลงไปทำเป็นตู้เย็น จึงขอย้ายมาอยู่เมืองกวางโจว อยู่ใกล้บ้าน รับฟังวิทยุจากต่างประเทศได้และได้อ่านหนังสือพิมพ์จากฮ่องกงด้วย

สารคดี : ตอนนั้นงานหลักของอาจารย์ปรีดีคือการเขียนหนังสือ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : เขียนบทความต่าง ๆ เขียนหนังสือ ความเป็นอนิจจังของสังคม เป็นคนเขียนหนังสือลายมือดี


สารคดี : ช่วงนั้นอยู่ได้เพราะบำนาญ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ตอนแรกรัฐบาลตัดบำนาญตั้งแต่เริ่มคดีสวรรคต ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นจำเลย ในคำฟ้องไม่มีนะ แต่เขาก็ตัดเราแล้ว เวลานั้นเมื่อพ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ ได้บำนาญสูงสุด ๖๐๐ บาท เมื่อโดนตัด นายปรีดีก็ฟ้องศาล จน ๒๐ ปีผ่านไปกว่าจะได้บำนาญ แต่เขาเพิ่มให้นะ ตอนหลังได้เดือนละ ๔,๐๐๐ กว่าบาท ตอนนั้นฉันต้องขายบ้านขายที่ดิน คนเขาถามขายทำไม ไม่ขายแล้วเอาอะไรกิน มีอะไรก็ขายหมด แล้วฉันก็มีรายได้จากค่าเช่าบ้าน แล้วก็ขายบ้าน ขออนุญาตเอาเงินออกไปซื้อบ้าน สมัยนั้นคุณป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารชาติ

สารคดี : อาจารย์ป๋วยรู้จักอาจารย์ปรีดีมาตั้งแต่สมัยใดครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : คุณป๋วยเป็นลูกศิษย์ ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณป๋วยไปทำงานห้องสมุดธรรมศาสตร์ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย

สารคดี : อาจารย์ปรีดีเคยคิดจะกลับเมืองไทยใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : อยากกลับบ้าน แต่ถ้าเรากลับมาแล้วบ้านเมืองวุ่นวาย ต้องมีคนไม่ชอบ แล้วอย่างนี้จะกลับได้ยังไง อยากให้บ้านเมืองสงบ คิดว่าอยู่ต่างประเทศดีกว่า ใจน่ะอยากกลับ ถ้ากลับมาไม่สงบ ก็เป็นคนไม่รักชาติ เราต้องการให้ชาติบ้านเมือง มีความสงบรุ่งเรือง

สารคดี : มีคนไปเยี่ยมอาจารย์ปรีดีตลอดเวลาใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : มี คือการเยี่ยมมีหลายอย่าง ไปเยี่ยมด้วยน้ำใสใจจริง ระลึกถึงคุณงามความดีเก่า ๆ ไปดูก็มี อยากรู้ว่าอยู่กันอย่างไร บางคนที่สนิทกันแต่ไม่กล้าไป กลัวมีคนไปแจ้งกับรัฐบาล ขนาดฉันจะขายที่ดิน คนจะซื้อพอรู้ว่าเป็นชื่อของนายปรีดี ก็กลัวแล้ว ที่ดินของนายปรีดีที่ทุ่งมหาเมฆ ซื้อไว้ถูก ๆ ไร่ละ ๓.๕๐ บาท ตั้งแต่เป็นทุ่งนา คนซื้อบอกว่าต้องไปถามรัฐบาลก่อน แล้วรัฐบาลมาเกี่ยวอะไรด้วย จะขายของตัวเองยังยาก ต้องไปถามรัฐบาล


สารคดี : แต่ก็จำเป็นต้องขายเพื่อหารายได้

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ก็ให้พรรคพวกช่วยกันซื้อ เพื่อว่าให้เราได้มีกินมีใช้ ถ้าฉันไม่ขายจะเอาเงินที่ไหน บำนาญก็ไม่ได้ บ้านที่สีลมและสาทรก็ต้องขาย เพราะเราไม่ได้ค้าขาย ฉันเห็นเดี๋ยวนี้นะ ทำไมนักการเมืองรวยจัง ฉันไม่เข้าใจ เอาเวลาราชการไปค้าขายเหรอ เราใช้เวลาทั้งหมดให้แก่ราชการ ไม่ได้เอาเวลาของราชการมาทำมาหากิน ซึ่งถ้านายปรีดีจะทำมาหากิน ก็มีหัวนะ ได้รับใบประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐกิจ มีความสามารถหลายอย่างที่ทำอะไรต่ออะไร แต่ท่านไม่ได้ทำเพื่อตนเอง ทำให้ประเทศชาติ


สารคดี : อยากให้ท่านผู้หญิงช่วยเล่าถึงวันที่อาจารย์ปรีดีเสียชีวิต

ท่านผู้หญิงพูนศุข : อยู่ดีๆ ก็นั่งเขียนหนังสือนั่นแหละ เขียนเสร็จแล้ว จะให้ลูกคนหนึ่งตรวจทาน ก็ให้ฉันออกไปตาม แต่ลูกไม่อยู่ออกไปทำงานก่อน ฉันก็กลับเข้ามา เห็นนายปรีดีถอดแว่น พูดอะไรสองสามคำ ฉันก็จำไม่ได้ แล้วเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้คอพับแล้วนิ่งไป ฉันก็รีบไปหยิบยาฉุกเฉินที่หมอเขาให้ไว้ แล้วก็รีบโทรศัพท์ ลูกอีกคนก็เช่าบ้านอยู่ข้าง ๆ เพราะบ้านเราเล็ก เขามีครอบครัว ให้คนไปตาม เผอิญมีหลานเรียนแพทย์จุฬาปี ๔ มาพักอยู่ที่บ้าน ก็ให้เขามาช่วยผายปอด แล้วก็โทรศัพท์เรียกแพทย์ฉุกเฉิน หมอสั่งไว้ให้เรียกรถแอมบูแรนซ์ก่อน เพราะว่าแอมบูแรนซ์ของเขามีเครื่องเคราครบ เขาก็มาปั๊มหัวใจ แต่ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว นายปรีดีไม่ได้ทรมานเลย สิ้นใจอย่างสงบ หมอประจำตัวมาทีหลังบอกว่าตายอย่างงดงาม

สารคดี : ตั้งร่างของท่านไว้ที่บ้านอยู่หลายวัน

ท่านผู้หญิงพูนศุข : นอนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ใส่หีบตั้งห้าวัน มีคนไทยจากที่ต่าง ๆ ในฝรั่งเศสและยุโรปมาเยี่ยมเคารพ ท่านเสียวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ ถึงได้ลงหีบ นอนอยู่บนเตียงนอนเฉย ๆ นี่ เหมือนคนนอนหลับ เล็บ แก้ม ไม่ได้ซีดเลย ผม หนวด เล็บ ยังงอกยาวออกมาเหมือนยังมีชีวิตอยู่ เจ้าหน้าที่บอกไม่ให้เราถูกตัว แล้วมียาอะไรไม่รู้วางไว้ ทำสะอาด พอดีเดือนพฤษภาคมอากาศเย็น ความจริงถ้าเป็นโรคอื่นไม่ได้นะ เมืองฝรั่งไม่ให้ตั้งศพอยู่ที่บ้าน

สารคดี : สถานทูตไทยมาหรือเปล่าครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ท่านทูตมาส่วนตัว เพราะว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีความเห็น ท่านไม่พูด ก็เลยไม่ทำอะไร มีเพื่อนลูกอยู่ต่างประเทศ โทรศัพท์ถามว่ารัฐบาลสั่งทำมั้ย ไม่มีเลย รัฐบาลไม่สั่งอะไรเลย รัฐบาลใบ้ เห็นใจทูตนะ เราเลยขอความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว พอดีท่านปัญญาฯ กำลังอยู่ที่อังกฤษ ท่านรู้ข่าว ท่านก็โทรศัพท์มาแสดงความเสียใจ เราจึงนิมนต์ท่านมาเป็นประธานประชุมเพลิง ยังมีพระจากเมืองอังกฤษอีกสามรูปมาสวดให้ เอาผ้าไตรมาช่วย เดินทางมาเอง แล้วมีพระในฝรั่งเศสอีก ท่านปัญญาฯ เป็นประธาน ท่านก็กล่าวสดุดี มีคนไทยในฝรั่งเศสและในยุโรปไปเผากันเยอะ นักบินและเจ้าหน้าที่การบินไทยที่เผอิญไปปารีสขณะนั้น อุตส่าห์ไปเผากันหมด คนรู้จัก ไม่รู้จักนะ อุตส่าห์ไปกัน ก็เผากันเดี๋ยวนั้น เก็บกระดูกเดี๋ยวนั้น ละเอียดเชียว สั่งไว้นี่ บอกให้เป็นขี้เถ้า ไม่มีชิ้นเลย แล้วยังมีอดีตทูตฝรั่งเศสในเมืองไทย นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็ส่งพวงหรีดมาแสดงความเสียใจ

สารคดี : แล้วปี ๒๕๒๙ เหตุใดถึงเอาอัฐิกลับมาเมืองไทย

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ทีแรกลูกบางคนคิดว่าเอากลับมาทำไม ในเมื่อบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ แต่เราก็มีบ้านที่เมืองไทยนี่นะ ตัดสินใจสามปี ถึงได้มา ทีนี้ทางธรรมศาสตร์ เวลานั้นท่านอธิการบดีคุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี บอกว่าทางธรรมศาสตร์จะต้อนรับเอง ฉันก็ไม่ออกความเห็น ไม่คัดค้าน ที่ธรรมศาสตร์ทำบุญ ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ฉันก็ทำบุญที่วัดพนมยงค์ ทางธรรมศาสตร์เขาก็ทำให้เต็มที่ เขาให้นักศึกษาติดแผ่นป้ายสีดำ ๆ แล้วแจกกลอนของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิธ ท่านเขียนกลอน "ชูดี" แหม ซึ้งเหลือเกิน

สารคดี : อาจารย์ปรีดีเขียนพินัยกรรมไว้หรือเปล่า

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ไม่มีพินัยกรรม เคยแต่เขียนว่า ถ้าภายหน้ามีทรัพย์สมบัติอะไร ก็จะยกให้ฉันคนเดียว และสั่งด้วยปากเรื่องเผาศพ ให้เผาให้ละเอียด

สารคดี : อาจารย์ปรีดีสนิทกับท่านพุทธทาส

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ก็รู้จักกันดี ไม่ถึงกับสนิทอะไร เคยนิมนต์มาสนทนาธรรมกันสมัยสงคราม เมื่อท่านมาแสดงธรรมที่มหามกุฎฯ ก็ไปฟัง และนิมนต์มาที่ทำเนียบท่าช้าง และเคยขอให้ท่านพุทธทาสตั้งสำนักสงฆ์เช่นเดียวกับสวนโมกขพลาราม ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นบ้านเกิด แต่มาเกิดรัฐประหาร ๒๔๙๐ จึงทำให้โครงการนี้ต้องล้มเลิกไป

สารคดี : กับท่านปัญญาฯ ก็คุ้นเคยกัน

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ก็เคยมาเยี่ยมกันที่บ้าน ที่ปารีสน่ะ ท่านก็ไปต่างประเทศกันบ่อย ๆ สมเด็จพระพุฒาจารย์วัดมหาธาตุ พระพิมลธรรม ก็สนิทกัน เมื่อเราประสบเคราะห์กรรมท่านก็มาเยี่ยม บอกว่า อาตมาไม่ห่วงหรอก ท่านรัฐบุรุษ เพราะท่านรู้จักธรรมะ ห่วงท่านผู้หญิง พอมาเห็นแล้ว บอกไม่ต้องห่วง ท่านก็อุตส่าห์มาเยี่ยม สมเด็จฯ วัดสระเกศก็ไปสองครั้ง แล้วท่านเจ้าคุณประยุทธ (ประยุต ปยุตโต)เวลานั้นตามไปด้วย

ฉันจากเมืองไทยไป ๑๗-๑๘ ปี ไป พ.ศ. ๒๕๐๑ กลับ พ.ศ. ๒๕๑๘ คนแรกที่ฉันไปกราบคือสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิธ ท่านไม่ได้รับที่กุฏิ แต่ออกรับในพระอุโบสถ ท่านให้เกียรติเราทั้งที่ขณะนั้นเราไม่มีเกียรติอะไรแล้ว พระท่านยุติธรรม เที่ยงธรรม ไม่เชื่อคำพูดที่กล่าวหาเรา พระท่านปัญญาสูง คนที่เชื่อคือคนที่ไม่ใช้สติประกอบด้วยปัญญา

No comments: