Monday, February 12, 2007

บทความที่ ๓๘. ขอจงศึกษาข้อเท็จจริงเพื่อต่อสู้ด้วยปัญญา

ขอพวกเราจงศึกษาข้อเท็จจริงให้มากเพื่อต่อสู้ด้วยปัญญา

การต่อสู้เพื่อนำอำนาจของปวงชนคืนมาสู่แผ่นดินไทย เราทั้งหลายจะต้องเป็นผู้ศึกษาและเรียนรู้เรื่องราวต่างๆโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ให้มาก ไม่แต่เฉพาะประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ขอให้ศึกษาประวัติศาสตร์ วิวัฒนาทางสังคม สังคมนิยม ฯลฯ การต่อสู้ของคนในชาติอื่นๆที่ลำบากกว่าไทยเป็นแสนเท่า อย่างเช่น การต่อสู้ของคนจีนเพื่อขับไล่จักรวรรดินิยมตะวันตกและจักรพรรดินิยมญี่ปุ่น และไหนจะต้องต่อสู้กับสงครามกลางเมืองขับไล่ทรราชเจียงไคเชค ชนชาติจีนที่สามารถสถาปนาประเทศของเขาขึ้นมาได้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๙ จึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์แต่เป็นความร่วมแรง ร่วมใจสละทุกอย่างเพื่อจรรโลงชาติของเขา

แต่ขอให้สังเกตเป็นบทเรียนว่าหลังจากที่เหมาเจ๋อตง นำพาประชาชนขับไล่เจียงไคเชค สมุนของจักรวรรดิอเมริกา ไปจากแผ่นดินใหญ่แล้ว เหมาและคณะปกครองก็กลับหันปลายกระบอกปืนมาเข่นฆ่าประชาชนนับสิบล้านในคราวปฏิวัติวัฒนธรรม และยังขับไล่นักบวชทั้งหลายไม่ให้อยู่ในแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้น่าที่จะนำมาศึกษาว่า มนุษย์ก็คือมนุษย์ เมื่อได้อำนาจมาแล้ว ก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจไว้ แม้จะต้องเข่นฆ่าคนอื่นก็ตาม และสุดท้ายตนเองก็กลายเป็นฆาตกรฆ่าคนเป็นล้านไม่ต่างจากเจียงไคเชค

ยังมีประวัติของนักต่อสู้ของชาติอินเดีย นามว่า ดร.เอ็มเบดก้าร์ ผู้ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่คนที่มีอายุ ๕๐ ปีก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของรัฐบุรุษผู้นี้ ท่านเป็นวีรบุรุษตัวจริงของคนส่วนใหญ่ในอินเดียซึ่งเป็นคนจัณฑาล แต่คนในโลกมักจะได้ยินแต่ชื่อเสียงของ มหาตมะคานธี และคิดว่าคนนี้คือคนทำให้อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่แท้ที่จริงแล้วคานธีเป็นผู้ทำให้อินเดียต้องเสียดินแดนส่วนหนึ่งกลายเป็นประเทศของคนมุสลิมไป และนี่เองทำให้เขาถูกยิงเสียชีวิต แต่ดร.เอ็มเบดก้าร์ท่านนี้ต่างหากที่ได้ทำคุณูปการใหญ่หลวงให้กับประเทศอินเดีย ท่านนับเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยของอินเดียก็ว่าได้

ยังมีเรื่องราวต่างๆที่ผมขอให้พวกเราได้ค้นคว้าจากหนังสือเก่าๆ ที่เป็นข้อเท็จจริงอื่นๆ เช่น สงครามเวียดนาม, สงครามอินโดจีน, สงครามเกาหลี หรือแม้แต่สงครามโลกครั้งที่สองที่เกิดในเอเชีย เป็นต้น

ความรู้เหล่านี้หากเป็นไปได้ผมขอให้พวกเราช่วยกันพิมพ์และนำมาลงให้เป็นความรู้แก่คนอื่นๆได้อ่านด้วยครับ และนี่เป็นการต่อสู้ทางปัญญาของพวกเราครับ เราไม่ด่าบริภาษด้วยคำต่ำๆ อันเป็นการแสดงออกของคนจิตใจต่ำ ก็อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่า กลุ่มคนที่เอาแต่ด่าทอ ใช้คำต่ำช้า พวกเขาหามีความคิดนึกสูงส่งแต่อย่างใด เพราะพวกเขาไม่ได้ทำด้วยสติปัญญา หรือด้วยความรักชาติแต่อย่างใด นับวันเราก็จะเห็นความแตกต่างทางสติปัญญาได้ชัดเจนขึ้น

โปรดอย่าลืมละครับ ได้อ่านหนังสือหรือพบบทความที่จะเป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสังคมหรือพุทธศาสนาที่คิดว่าจะเป็นการเตือนสติแก่คนทั้งหลายก็โปรดพิมพ์ลงให้เป็นวิทยาทานด้วยครับ

ขอความสามัคคีจงมีแด่ประชาชนผู้รักชาติและศาสนา

No comments: